ญาเงาะ : ตำนาน

        เงาะซาไก มีนิทานกึ่งตำนานของพวกตนว่า ณ ดินแดนที่ไกลทางหวันออก (น่าจะเป็นทิศตะวันออก) เป็นสถานพำนักของญาเงาะผู้เป็นภรรยาของหวัน (พระอาทิตย์) และเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ สัตว์คู่แรกตลอดทั้งพืชพันธุ์ต่าง ๆ (มนุษย์-สัตว์ คู่แรกที่เกิดจากญาเงาะนี้เรียกว่า “พ่อแม่เดิม”) สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยฝูงผึ้งที่ญาเงาะเลี้ยงเอาไว้ เพื่อจะได้เก็บเอาขี้ผึ้งมาใช้ทำแผ่นบัลลังก์สำหรับนั่งข้าง ๆ แท่นบัลลังก์ขี้ผึ้งที่ญาเงาะนั่งนั้นมีสายน้ำเล็ก ๆ สายหนึ่ง ซึ่งมีน้ำไหลออกมามิได้ขาด ซึ่งสายน้ำนี้เองเป็นต้นน้ำสายต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ทั่วไปตามป่าเขา

        ญาเงาะมีสัตว์คู่ใจอยู่ตัวหนึ่งที่มีลักษณะคล้าย ๆ งูตัวใหญ่ ยาว แผ่นหลังมีสีเขียว ใต้ท้องสีแดงเรียกว่า “ฮุ่ง” (รุ้ง)

        ญาเงาะเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยเมตตาต่อสรรพชีวิตทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ คน หรือพืชพันธุ์อื่น ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นลูกหลานที่เกิดจากพ่อแม่เดิมที่ญาเงาะสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น ดังนั้นทุก ๆ คืนญาเงาะจะต้องคอยมองดูทุกข์สุขของสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินมิได้ขาด

คนมาจากไหน ตายแล้วไปไหน

        ญาเงาะผู้เป็นใหญ่เป็นพ่อแม่เดิมของคนทั้งหมด โดยเฉพาะชาวเงาะทุกคนมาจากพ่อแม่เดิมที่ญาเงาะเกิดมาทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อตายไปทุกคนจะต้องกลับไปสู่หวันออกเพื่อหาพ่อแม่เดิมด้วยความเชื่อที่แฝงอยู่ในเรื่องเล่านี้เอง ที่ทำให้ชาวเงาะไม่มีการฝังศพ เพราะจะกลับไปหาพ่อแม่เดิมที่หวันออกไม่ได้ ดังนั้นการไม่ฝังศพเป็นการพิสูจน์ว่าผู้ตายนั้นได้ไปหาพ่อแม่เดิม

ข้างขึ้น-ข้างแรม เกิดได้อย่างไร

        หลังจากที่ญาเงาะได้เกิดพ่อแม่ให้กับทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ยังมีความห่วงใยลูกหลานเหล่านั้นอยู่กันอย่างมีความสุขหรือไม่ ดังนั้นทุกคืนญาเงาะจะจ้องมองดูคน สัตว์ และต้นไม้ต่าง ๆ บนโลกไปทั่วทุกทิศ ดังนั้นการที่เราเห็นดวงจันทร์เต็มดวงแสดงว่าญาเงาะมองตรงมาที่พวกเราแล้วและจะค่อย ๆ หันไปดูทางอื่นเราก็จะเห็นดวงจันทร์แหว่ง ในยามคืนเดือนมืดก็แสดงว่าญาเงาะได้หันหลังมาทางเราเพื่อมองไปทางตรงกันข้าม และจะค่อยหันมาหาเราอีกเป็นอย่างนี้มิรู้สิ้นสุด

รุ้งกินน้ำมาจากไหน

        รุ้งกินน้ำนั้นก็คือสัตว์คู่ใจของญาเงาะตัวยาวคล้ายงู ตัวใหญ่มาก หลังสีเขียว ท้องสีแดงไม่เคยมีใครได้เห็นหน้าของมัน ชาวเงาะเรียกสัตว์ตัวนี้ว่า “ฮุ่ง”

        ด้วยญาเงาะมีฝูงผึ้งเป็นสัตว์เลี้ยงและได้บัญชาให้ฮุ่งเป็นผู้ทำหน้าที่พาผึ้งออกหากิน โดยเฉพาะในช่วงระยะที่มีฝนตก ฮุ่งจะต้องคอยฝูงผึ้งออกมาหากินตามป่า และตัวมันเองก็ได้หาน้ำกินด้วย เพราะที่หวันออกนั้นน้ำมีน้อย ฮุ่งกินไม่อิ่ม ฮุ่งจะหาน้ำกินตามถ้ำที่มืด ๆ เท่านั้น

        การที่เราเห็นฮุ่งเป็นสาย ๆ นั้นเป็นเพียงส่วนปลาย ๆ เท่านั้นเอง

กลางวัน-กลางคืน เกิดขึ้นอย่างไร

        ฮุ่งเป็นสัตว์คู่ใจของญาเงาะที่มีพฤติกรรมแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือจะต้องกลืนหางตัวเองอยู่เป็นนิจและค่อย ๆ คายออกมาแล้วกลืนกลับเข้าไปใหม่เป็นอยู่อย่างนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์

        ในขณะที่มันกลืนหางตัวเองนั้นทำให้ทั่วแผ่นฟ้าและแผ่นดินมืดหมด แต่เมื่อมันค่อย ๆ คายหางที่กลืนเข้าไปออกมาแสงสว่างก็ค่อย ๆ บังเกิดขึ้น พอมันคายหางออกมาจากปากหมดก็รุ่งพอดี แล้วตกเวลาเที่ยงมันก็ค่อย ๆ กลืนหางของมันอีกครั้งทำให้เกิดความมืดสว่างขึ้นทำวันที่เรียกว่ากลางวัน กลางคืนนั้นเอง

ฝนตก ฟ้าร้อง เกิดขึ้นได้อย่างไร

        ณ ที่หวันออกข้าง ๆ แท่นบัลลังก์ขี้ผึ้งซึ่งเป็นที่นั่งของญาเงาะนั้น มีสายน้ำเล็ก ๆ อยู่สายหนึ่งที่มีน้ำไหลออกมามิได้ขาดเลย แต่หากเมื่อใดเกิดมีลมพัดแรง ๆ จะทำให้สายน้ำนั้นเกิดว่าพลุ่งหรือเดือดขึ้นและทำให้น้ำกระฉอกกระทบกับแท่นขี้ผึ้ง และได้กระเซ็นออกไปเป็นฝนตก

 “ทำไมพวกเงาะจึงมีผิวดำผมหยิก

        ในสมัยโบราณเกิดไฟไหม้เมืองลังกา จนลุกลามไปทั่ว ทำให้คน สัตว์ต่าง ๆ พากันหนีเข้าป่าพร้อมกับสัตว์อีกหลายชนิด เช่น ค่าง คูรำ (เลียงผา) กวาง หมูป่า และรวมถึงสัตว์ที่สีดำทั้งหมด

        จากที่เกิดไฟไหม้นั้นเอง ที่ทำให้ผิวของพวกเขาชาวเงาะต้องดำไป และผมที่หยิกก็เป็นเพราะความร้อนจากไฟไหม้ครั้งนั้นด้วยเช่นกัน

ทำไมต้นไม้บางชนิดจึงมีใบเป็นแฉกคล้ายนิ้วมือคน

        ในสมัยก่อนนั้นมีพวกชาวเงาะอยู่กลุ่มหนึ่งที่มีความเห็นแก่ตัวมาก มีอะไรกินก็กินคนเดียวไม่แบ่งให้พรรคพวกคนอื่น ๆ หาอาหารมาได้คนกลุ่มนี้ก็จะคอยแย่งเอาไปกินจนหมด หรือหากแบ่งไว้ให้ก็เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดความเดือดร้อนกันทั่วไป เมื่อพวกเงาะกลุ่มนั้นตายไปก็เกิดใหม่เป็นต้นไม้ต่าง ๆ ที่มีใบเป็นแฉก ๆ คล้ายนิ้วมือคน เช่น ต้นพ้อ (ตะพ้อ) ต้นแป้ง ต้นกะหนามเสือ ต้นชิด ซึ่งต้นไม้เหล่านั้นเดิมก็เคยเป็นคนพวกเงาะทั้งนั้น

        คำว่า “ญาเงาะ” ที่ปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าของชาวเงาะนั้น เป็นผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจมากและเป็นผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิดทุกสิ่งทุกอย่าง ดังคำกล่าวของชาวเงาะที่ว่า “ญาเงาะนั้นเกิดพ่อแม่เดิมให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่บนผืนแผ่นดินนี้” ซึ่งหมายความว่าก่อนที่จะมีคน สัตว์ หรือ พืชพันธุ์อื่น ๆ ขึ้นมา ญาเงาะได้เกิดพ่อแม่ของสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาก่อน

        ดังนั้น “ญา” น่าจะหมายถึงตำแหน่งที่ทรงอำนาจ เช่น พญา หรือ พระยา แต่ได้เรียกตามลักษณะการพูดแบบคนภาคใต้มักจะเรียกอะไรแบบสั้น ๆ เช่น เรียกนครศรีธรรมราช ว่าเมืองคอน หรือเมืองพัทลุง ว่าเมืองลุง เป็นต้น

        อีกทางหนึ่ง “ญา” นี้น่าจะมีความหมายไปในทางของจิตหรือวิญญาณที่มีอำนาจลึกลับ เพราะในสังคมชาวเงาะนั้นเป็นสังคมที่นับถือผีสางนางไม้อยู่แล้ว และเขาเชื่อกันว่าผีนั้นมีอยู่ ๔ จำพวก คือ

        พวกที่ ๑ เรียกว่า ญา เป็นชีวิต หรือวิญญาณที่ออกจากคนตายแล้ว

        พวกที่ ๒ เรียกว่า โรบ คือที่เราเรียกว่า เจตภูต เวลาคนนอนหลับออกไปเที่ยว

        พวกที่ ๓ เรียกว่า เซมังงัด คือ เป็นพรายหรือผีจำพวกหนึ่งซึ่งสำหรับผู้มีวิชาใช้ได้ ทำให้ไปเข้าในตัวผู้อื่นให้คลั่งเป็นบ้า ให้หลงรัก เป็นพวกผีคุณ ผีเวช

        พวกที่ ๔ เรียกว่า บาดี ตรงกับที่เราเรียกกันว่าปรางความอันเกิดจากสัตว์ต่าง ๆ

        ถ้าพิจารณาความหมายของคำว่า ญา จากทั้งสองที่กล่าวมาแล้วน่าจะมีความหมายในพวกหลังมากกว่าพวกแรก และถ้าหากว่า ญา ที่กล่าวถึงนี้ คือวิญญาณ ตามความหมายในพวกหลังคำว่า ญา ที่ปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์เรื่องเงาะป่า นอกจากจะมีความหมายว่าวิญญาณที่ออกจากคนตายแล้วยังหมายถึงพระผู้สร้างหรือพระเจ้าอีกด้วย (สุวัฒน์ ทองหอม) 

ชื่อคำ : ญาเงาะ : ตำนาน
หมวดหมู่หลัก : โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และการเมืองการปกครอง
หมวดหมู่ย่อย : ตำนาน พงศาวดาร
ชื่อผู้แต่ง : สุวัฒน์ ทองหอม
เล่มที่ : ๕
หน้าที่ : ๒๕๔๒