ตามพรลิงค์
ตามพรลิงค์ เป็นชื่อรัฐโบราณที่สำคัญมากรัฐหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่บนคาบสมุทรไทย และมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์สืบมาเป็นเวลานานในรูปของรัฐที่มีระบบทางการเมืองชัดเจนและมีหลักฐานเป็นที่แน่ชัดว่าเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ รัฐนี้ได้มีอำนาจเหนืออาณาบริเวณคาบสมุทรไทยทั้งหมด
การตั้งหลักแหล่งของชุมชนโบราณในอาณาบริเวณตั้งแต่อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ลงไปจนถึงเขตตำบลท่าเรือ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช มีมาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ สังเกตได้จากการพบหลักฐานทางโบราณคดีในบริเวณดังกล่าวและในราวพุทธศตวรรษที่ ๙ เป็นต้นมา หลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบยืนยันว่าดินแดนแถบนี้เคยติดต่อกับภูมิภาคอื่น ๆ เช่น อินเดีย อินโดจีน และลังกา เป็นต้น
ในระยะที่การค้าขายระหว่างตะวันตกคืออินเดียและตะวันออกกลางกับตะวันออก คือจีนกำลังเฟื่องฟูนั้น คาบสมุทรไทยได้เพิ่มความสำคัญทางการค้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเส้นทางที่พ่อค้าอินเดียและตะวันออกกลางต้องพักหรือผ่าน ทำให้อิทธิพลทางวัฒนธรรมของอินเดียใต้ทางภาคตะวันออกได้ปรากฏในบริเวณคาบสมุทรไทยชัดเจนขึ้น ดังหลักฐานที่สำคัญคือการค้นพบเทวรูปพระวิษณุ (พระนารายณ์) รุ่นเก่าที่วัดศาลาทึง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ในบรรดาเทวรูปพระวิษณุเหล่านี้นับว่าพระวิษณุจากวัดศาลาทึง อำเภอไชยาและจากวัดพระเพรง ตำบลนาสาร อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช และองค์ที่พบที่หอพระนารายณ์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเทวรูปรุ่นเก่าที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อาจจะกล่าวได้ว่าชุมชนทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ในบริเวณนครศรีธรรมราชนั้นสำคัญขึ้นเพราะการค้าดังกล่าวด้วย เป็นจุดเชื่อมของเส้นทางข้ามคาบสมุทรระหว่างฝั่งทะเลอันดามันแห่งมหาสมุทรอินเดียกับฝั่งทะเลจีนใต้แห่งมหาสมุทรแปซิฟิก เมืองแถบภาคตะวันออกก็ได้วิวัฒนาการขึ้นเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญ เมืองนี้ได้สร้างอำนาจทางการเมืองอย่างแท้จริง จนในที่สุดปรากฏในรูปของรัฐ “ตามพรลิงค์” เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ มีศูนย์กลางสำคัญอยู่ที่ “กรุงศรีธรรมาโศก” หรือ “ศรีธรรมราช” หรือ “ปาฏลิบุตร” ครั้นตอนปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ หรือต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ รัฐนี้สลายตัว คงปรากฏ อยู่ในนามของ “เมืองศรีธรรมราช” ดังหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
จากหลักฐานศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ซึ่งค้นพบที่หุบเขาช่องคอย บ้านคลองท้อน หมู่ที่ ๙ ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ ซึ่งค้นพบที่วัดเสมาเมือง (เสมาชัย) ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช สันนิษฐานได้ว่าในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ บริเวณแถบจังหวัดนครศรีธรรมราชปัจจุบันซึ่งเป็นต้นเค้าของรัฐตามพรลิงค์ ได้มีชุมชนซึ่งในระยะแรกสัมพันธ์กับ “ศรีวิชัย” ทางใดทางหนึ่งมาก่อนที่จะมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับชวาภาคกลาง และรับคติความเชื่อมาปะปนกัน เช่น การนับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์ รูปเคารพในคตินี้ปรากฏอยู่ทั่วไปในภูมิภาคนี้ อาจชี้ให้เห็นว่าการปะปนทางวัฒนธรรมกับพวกทมิฬหรือโจฬะมีมาตั้งแต่สมัยต้นก็เป็นได้ ศิลาจารึกหลักที่ ๒๖ ซึ่งค้นพบที่เขาพระนารายณ์ ตำบลเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงา สลักเป็นภาษาทมิฬ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๔ ก็เป็นหลักฐานยืนยันถึงอิทธิพลของโจฬะเป็นอย่างดี
อาจกล่าวได้ว่า อาณาบริเวณตามพรลิงค์ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ มีความสัมพันธ์ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการค้ากับดินแดนอันมีหลักฐานปรากฏชัดเจนอย่างน้อยก็ ๒ แห่งด้วยกันคือ ชวาภาคกลาง และอินเดียภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์กับโจฬะและอินเดียภาคใต้จะสืบเนื่องต่อไปจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เมื่อพวกโจฬะส่งกำลังรุกรานอาณาบริเวณต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังมีหลักฐานจากวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็พบศิลาจารึกหลักที่ ๒๙ ซึ่งสลักเป็นภาษาทมิฬสนับสนุนอยู่
บ้านเมืองบริเวณแถบตามพรลิงค์ ปรากฏชื่อในเอกสารจีนเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เรียก ตันหลิวเหมย (Tan-liu-mei) ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจว่าได้มีการรวมตัวและจัดระบบมาก่อนหน้านั้นแล้ว นับแต่ปลายพุทธศตวรรษนี้เป็นต้นไปความสำคัญของตามพรลิงค์ผูกพันอยู่กับสภาพการค้าที่เปลี่ยนไปอยู่มาก ไม่เพียงแต่ว่าดินแดนทางฝั่งตะวันออกนี้จะอยู่ในเส้นทางผ่านของการค้าทั้ง ๒ ฝั่งเท่านั้น หากแต่ยังเป็นจุดที่มีความสำคัญในตัวเองในแง่ของการค้าอีกด้วย เพราะสินค้าจากบริเวณ “ตามพรลิงค์” กลายเป็นที่ต้องการของประเทศที่ทำการค้าด้วย เช่น จีน ซึ่งต้องการไม้เนื้อหอมจากดินแดนแถบนี้ อันอาจจะเป็นโอกาสสำคัญที่ “ตามพรลิงค์” จะใช้ความได้เปรียบด้านฐานะทางเศรษฐกิจการค้านี้ส่งเสริมอำนาจการควบคุมทางการเมืองของตน รัฐนี้ได้พยายามขยายขอบเขตทางอำนาจและสถานะของตน อันอาจเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นความสำคัญของรัฐนี้ ได้มีการค้นพบศิลาจารึกที่แสดงความเป็นอาณาจักรของตามพรลิงค์ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ เช่น ศิลาจารึกหลักที่ ๓๕ (จารึกดงแม่นางเมือง) ซึ่งค้นพบที่จังหวัดนครสวรรค์จารใน พ.ศ. ๑๗๑๐ ศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ ค้นพบที่วัดหัวเวียง (วัดเวียง) อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี จารใน พ.ศ.๑๗๗๓ และเมื่อมีชื่ออยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แห่งสุโขทัย จารใน พ.ศ.๑๘๓๕ ฐานะ “เมืองนครศรีธรรมราช” ยังคงสืบทอดลักษณะบางอย่างให้แก่สุโขทัยและบ้านเมืองอื่นสืบมา
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เป็นช่วงแห่งความขัดแย้งระหว่างอำนาจทางการเมืองที่สำคัญในภูมิภาคนี้ เมื่อพวกทมิฬมีอำนาจขึ้นทางฝั่งตะวันออกของอินเดีย และอำนาจทางทะเลของชาวตะวันออกเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุให้ทั้ง ๒ ฝ่ายต่างแข่งขันกัน ประกอบกับราชวงศ์ซ้องหรือซุ่ง (Sung) รวมจีนได้ ก็เปิดเส้นทางการค้าออกสู่ทะเลจีนใต้อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามอำนาจพวกโจฬะมีสูงสุดในภูมิภาคแถบนี้ จึงสามารถควบคุมช่องแคบมะละกาได้เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ผลทางตรงของการกวาดล้างซึ่งกันและกันครั้งนี้ก็คือ ทำให้รูปแบบของการเดินทางค้าขายเปลี่ยนแปลง ภาคตะวันออกของคาบสมุทรไทยมีความสำคัญต่อการค้ามากขึ้นกว่าเดิม เพราะเป็นแหล่งที่เอื้ออำนวยต่อการติดต่อค้าขายกับจีนจามและพ่อค้าที่รับซื้อสินค้าจีน ขณะเดียวกันดินแดนภาคตะวันออกก็ยังคงอยู่ในเส้นทางข้ามคาบสมุทร ซึ่งยังคงมีความสำคัญอยู่ ไม่ได้หมดลงอย่างที่เข้าใจกัน การค้นพบประติมากรรมแบบโจฬะสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ ที่ชุมชนโบราณเวียงสระในเขตอำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี แสดงว่ายังมีการขนส่งสินค้าระหว่างอำเภอตะกั่วป่าทางฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรไทยกับอ่าวบ้านดอนทางฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรไทยในช่วงนี้ ในขณะที่ช่องแคบมะละกากลายเป็นที่ยื้อแย่งของชาติผู้มีอำนาจทั้งหลาย ผลทางอ้อมคือเปิดโอกาสให้อิทธิพลอื่นจากภายนอกเข้ามาในเขตนี้ เช่น ขอม พุกามและลังกา เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้จากการประสมประสานของแบบอย่างทางศิลปกรรมที่พบในบริเวณนี้
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ขอมเริ่มให้ความสนใจกับฝั่งตะวันออกของคาบสมุทร อันเป็นส่วนหนึ่งของการขยายอำนาจของขอมมาทางตะวันตกของอาณาจักรในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ เป็นเหตุให้ค้นพบโบราณวัตถุอันแสดงออกซึ่งอิทธิพลของศิลปะขอมบนคาบสมุทรไทยตั้งแต่สมัยนี้มากเป็นพิเศษ เส้นทางการค้าที่พวกขอมใช้น่าจะใช้เส้นทางเดินเรือที่รู้จักกันดีอยู่แล้วคือ จากฝั่งจามตัดเข้าอ่าวไทยไปยังเกาะสมุยในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วตัดตรงลงสู่ฝั่งตะวันออกของคาบสมุทร นับได้ว่าความสำคัญของเส้นทางนี้ที่มีต่อรูปแบบของการดำเนินการค้าเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความสำคัญของตามพรลิงค์ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๕ เมื่อขอมเริ่มทวีความสนใจออกมาทำการค้าและชะงักงันในกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เมื่อ สิ้นสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑
สภาพการณ์บนคาบสมุทรไทยในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ แสดงให้เห็นว่าตามพรลิงค์ก้าวขึ้นสู่ความมีอำนาจในบริเวณนี้อย่างไร กล่าวคือ เมื่อพวกโจฬะเริ่มเสื่อมอำนาจในลังกา กษัตริย์วิชัยพาหุที่ ๑ แห่งลังกาก็พยายามสร้างความสัมพันธ์กับอาณาจักรพุกามสมัยที่พระเจ้าอนิรุทรเป็นกษัตริย์ของพุกาม โดยนิมนต์ภิกษุจากพม่าไปชำระคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่ลังกา พุกามเองก็เคยแผ่อำนาจเข้าคอคอดกระ ทำให้พวกโจฬะต้องกวาดล้างแถบนี้อีกครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ.๑๖๐๐ บริเวณนี้จึงไม่เป็นที่ปลอดภัยสำหรับการค้าขาย ในขณะที่ฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรยังมีความสำคัญทางการค้าอยู่ดังที่ได้ค้นพบเครื่องถ้วยจีนกำหนดอายุ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (Tang) ลงมาถึงราชวงศ์ซ้องและราชวงศ์หยวน (Sung-Yuan) แสดงว่าการค้าดำเนินมาไม่ขาดสาย สภาพการณ์นี้น่าจะเปิดโอกาสให้ตามพรลิงค์ขยายตัวจนสามารถส่งทูตไปเมืองจีนได้เมื่อ พ.ศ.๑๖๑๐
ขณะเดียวกันอิทธิพลจากภายนอกซึ่งปรากฏอยู่ในรูปแบบศิลปกรรมต่าง ๆ ของภาคตะวันออก ของคาบสมุทรสะท้อนให้เห็นในมุมกลับว่าฐานะของเมืองในภูมิภาคนี้น่าจะมีความสำคัญทางเศรษฐกิจอยู่ในตัวเองเป็นอันมาก จึงเป็นสื่อดึงดูดการดำเนินการค้าจากภายนอกแผ่นดินใหญ่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจากผืนแผ่นดินใหญ่เอง
ประมาณ พ.ศ.๑๖๗๓-๑๗๑๙ ดูเหมือนตามพรลิงค์จะอยู่ในขอบเขตอิทธิพลของลังกาและพุกาม เมืองที่เป็นศูนย์กลางของตามพรลิงค์ระยะนี้คือ “กรุงศรีธรรมมาโศก” ตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๓๕ (จารึกดงแม่นางเมือง) พ.ศ.๑๗๑๐ อันเป็นจารึกภาษามคธและภาษาขอม กล่าวถึงราชาจากกรุงศรีธรรมาโศกถวายที่ดินหรือกัลปนาอุทิศให้ผู้ซึ่งเป็นที่เคารพ ดังความตอนหนึ่งว่าดังนี้
“สิ่งสักการะที่มหาราชาธิราชผู้มีพระนามว่ากรุงศรีธรรมาโศกถวายแด่พระสารีริกธาตุซึ่งมีนามว่ากมรเตงชคตศรีธรรมาโศก มหาเสนาบดีผู้หนึ่งชื่อศรีภูวนาทิตย์อิศวรทวีป นำกระแสพระราชโองการราชาธิราชมา”
แม้ศิลาจารึกหลักนี้จะไม่อ้างถึงตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราชโดยตรง แต่คำว่า “ศรีธรรมาโศก” สัมพันธ์กับเรื่องราวของเมืองนครศรีธรรมราชที่ปรากฏขึ้นสมัยหลังอยู่มาก ส่วนคำว่า “กรุง” ในเอกสารเก่าของไทย เมื่อใช้นำหน้าเมืองสำคัญในความหมายที่สัมพันธ์กับบุคคล มักจะเป็นคำแทนพระนามของกษัตริย์ คำว่า “กรุงศรีธรรมาโศก” ในที่นี้พาดพิงถึงราชาหรือกษัตริย์ซึ่งมีอำนาจอยู่ที่เมืองชื่อ “กรุงศรีธรรมาโศก” ตำแหน่งของกษัตริย์ “ตามพรลิงค์” ตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ ก็สัมพันธ์อยู่กับคำนี้คือ “จันทรภาณุศรีธรรมราช” และตำนานเก่าของไทย เช่น ตำนานเมืองนครศรีธรรมราชและตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เป็นต้น ก็มีชื่อกษัตริย์ที่ชื่อ “ศรีธรรมาโศกราช” แสดงให้เห็นว่าเป็นคำที่สืบทอดกันมา
สภาพการณ์ที่เมืองใดเมืองหนึ่งพัฒนามาตามเวลาแห่งประวัติศาสตร์ สร้างระบบการเมืองที่ซับซ้อนขึ้น มีอำนาจครอบคลุมชุมชนอื่นไว้ สร้างวัฒนธรรมเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของตนเองย่อมแสดงว่าเมืองนั้นคือรัฐอันมีอำนาจสมบูรณ์ในตัวเอง
จากศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ สะท้อนให้เห็นภาพทางการเมืองของรัฐตามพรลิงค์ชัดเจน เป็นหลักฐานทางจารึกชิ้นแรกที่กล่าวถึงชื่อนี้พร้อมกับการลำดับวงศ์ของกษัตริย์ ศิลาจารึกหลักนี้จึงเท่ากับเป็นคำประกาศยืนยันอำนาจของรัฐนั้นเหนืออาณาบริเวณอันเป็นขอบเขตของตามพรลิงค์
อาจกล่าวได้ว่าพร้อมกับการปรากฏตัวของจันทรภาณุแห่ง “ปัทมวงศ์” ตามพรลิงค์ก็วิวัฒนาการขึ้นเป็นรัฐมีอำนาจทางการเมืองสูง สามารถส่งกำลังไปตีถึงลังกา แม้จะพ่ายแพ้กลับมา แต่อำนาจของพระองค์เหนือรัฐดังกล่าวซึ่งมีเมือง “ปาฏลิบุตร” (อีกชื่อหนึ่งของนครศรีธรรมราช) เป็นเมืองหลวงอยู่ก็เป็นที่รู้ตลอดไปถึงลังกา พระเจ้าจันทรภาณุทรงเกี่ยวดองทางเครือญาติกับราชวงศ์ของลังกาด้วย
ในด้านศิลปะและวัฒนธรรมกล่าวได้ว่าในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๔ ดินแดนต่าง ๆ บนแหลมมลายูตอนเหนือโดยเฉพาะนครศรีธรรมราช ได้รับอิทธิพลทางศิลปะและวัฒนธรรมจากอินเดียอย่างมากมายอาจจะเรียกได้ว่าชาวอินเดียได้เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายและเผยแพร่อารยธรรมฝังรากฐานมั่นคงครั้งสำคัญ โดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรืองสูงสุด จึงได้ค้นพบโบราณวัตถุสถานมากกว่าที่ใด ๆ ในประเทศไทย แม้แต่ชื่อเมือง “ตามพรลิงค์” ก็ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสืบเนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์นั่นเอง และหลักฐานทางโบราณวัตถุในลัทธิไศวนิกาย (Virasaivas) ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ แพร่หลายในอินเดียใต้ก็พบเป็นจำนวนมากมายในเขตเมืองนครศรีธรรมราช ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่าการขยายตัวของชุมชนตามแหล่งที่เหมาะสมทางภูมิศาสตร์ ซึ่งต่อมาได้เจริญเติบโตขึ้นเป็นเมืองทั้งชายฝั่งตะวันตกและตะวันออกของคาบสมุทรไทย ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๔ ได้อยู่ในบริเวณของตามพรลิงค์เพราะเกิดเส้นทางเดินบกข้ามแหลมมลายู อันเป็นความจำเป็นในการติดต่อคมนาคมภายใน และเพื่อการควบคุมดูแลผลประโยชน์ทางการค้าหรือทางเศรษฐกิจของบ้านเมืองโดยตรง
ตามหลักฐานที่แสดงมานี้ชี้ให้เห็นว่า “ตามพรลิงค์” หรือ “นครศรีธรรมราช” เป็นศูนย์กลางใหญ่ทั้งทางการค้า การเมือง การปกครอง ศิลปะและวัฒนธรรมบนแหลมมลายูตอนเหนือชุมชน หรือเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนคาบสมุทรไทยทั้งฝ่ายตะวันตกและตะวันออกย่อมจะมีความเกี่ยวพันกับเมืองตามพรลิงค์เสมอต่างกันแต่เพียงมากบ้างน้อยบ้างเท่านั้น ซึ่งในยุคหลังที่เมืองตามพรลิงค์เจริญสูงสุดคืออย่างต่ำราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เมืองตามพรลิงค์ ได้ปกครองแหลมมลายูตอนเหนือทั้งหมดอย่างแน่นอนและต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เมืองนี้ก็ได้ปกครองทั้งแหลมมลายูในรูปของเมือง ๑๒ นักษัตร โดยมีเมืองขึ้น ๑๒ เมือง แต่ละเมืองก็ให้ถือตราประจำเมืองเป็นรูปสัตว์เมืองละตัว คือ เมืองสายบุรีใช้ตราหนู (ชวด) เมืองปัตตานีใช้ตราวัว (ฉลู) เมืองกลันตันใช้ตราเสือ (ขาล) เมืองปาหังใช้ตรากระต่าย (เถาะ) เมืองไทรบุรีใช้ตรางูใหญ่ (มะโรง) เมืองพัทลุงใช้ตรางูเล็ก (มะเส็ง) เมืองตรังใช้ตราม้า (มะเมีย) เมืองชุมพรใช้ตราแพะ (มะแม) เมืองปันไทสมอใช้ตราลิง (วอก) เมืองสะอุเลาใช้ตราไก่ (ระกา) เมืองตะกั่วป่า ถลางใช้ตราหมา (จอ) และเมืองกระใช้ตราหมู (กุน)
เหตุผลสำคัญที่ทำให้เมืองตามพรลิงค์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจและสังคม มาแต่โบราณคือ ประการแรก มีความอุดมสมบูรณ์ทางสินแร่ เครื่องเทศ ของป่า และรัตนชาตินานาชนิด จึงกลายเป็นศูนย์กลางของการติดต่อค้าขายมาแต่โบราณ สินค้าที่ชาวต่างชาติต้องการมีทั้งประเภทสินค้าจำเป็นและสินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าสำคัญ ๆ ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในจดหมายเหตุจีน และบันทึกของของชาวอาหรับว่า ที่ชนต่างชาติต้องการจากบริเวณนี้มากเป็นพิเศษคือ ประเภทเครื่องเทศ ได้แก่ กระวาน (บางแห่งเรียกว่าลูกเอ็น) กานพลู การบูร มะพร้าว แก่นจันทร์ กฤษณา พริกไทย ดีปลี ไม้หอม ยางไม้หอม ขิง ข่า ลูกจันทน์ มหาหิงคุ์ น้ำมันหอม กำยาน และเครื่องแกง หรือเครื่องปรุงรสอาหาร ประเภทของมีค่า ได้แก่ พวกหินมีค่าหายาก เช่น แก้วหิน ไข่มุก พลอย หินมีลาย สีย้อมผ้า เป็นต้น ประเภทผลิตผลจากป่าและสัตว์ ได้แก่ งาช้าง เขาสัตว์ หนังสัตว์ สมุนไพร สัตว์ป่า และปลาน้ำจืด เป็นต้น ประเภทโลหะ ได้แก่ ทองคำ เงิน ดีบุก ตะกั่ว และพลวง เป็นต้น ประการที่ ๒ ตำแหน่งที่ตั้งเป็นจุดศูนย์กลางการเดินเรือนานาชาติ โดยเฉพาะในการเดินทางติดต่อกันระหว่างจีน อินเดียและประเทศต่าง ๆ ทางอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งแหลมมลายูตอนเหนือเป็นจุดศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและการเผยแพร่ศิลปะและวัฒนธรรม เมืองตามพรลิงค์จึงเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญ มีเศรษฐกิจมั่นคงเพราะอยู่ท่ามกลางทะเลเปิด ซึ่งการดำรงสภาพการณ์เช่นนี้มีอยู่ตลอดประวัติศาสตร์ทางการค้าไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย อาหรับ และประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเหตุนี้ทำให้เมืองในเขตของตามพรลิงค์เป็นชุมชนทางการค้าอีกหลายแห่ง เช่น ไทรบุรี และตะกั่วป่า ทางฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรไทย และทางฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรไทย คือไชยา สทิงพระและปัตตานี อันเป็นชุมชนที่เจริญขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๘
ตามพรลิงค์ในศิลาจารึกและเอกสารโบราณนั้นในขณะนี้ได้ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีในช่วงสมัยเดียวกันยืนยันอย่างมากมายในนครศรีธรรมราชและบริเวณใกล้เคียง กล่าวคือ บนสันทรายนครศรีธรรมราช ตั้งแต่จากแหล่งโบราณคดีในเขตอำเภอสิชล จนถึงแหล่งโบราณคดีในเขตอำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ในบริเวณนี้ได้ค้นพบโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์สืบเนื่องกันมาทุกสมัย โดยเฉพาะในราวพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๐ ได้ค้นพบพระวิษณุศิลาแบบเดียวกับที่พบ ณ วัดศาลาทึง อำเภอ ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพระวิษณุที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง ๒ องค์ ในเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ได้พบโบราณวัตถุสถานที่ได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ในราวพุทธศตวรรษ ที่ ๑๑-๑๔ เป็นจำนวนมากในชุมชนโบราณ ในเขตอำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา และเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช โบราณวัตถุที่พบเป็นประติมากรรม เช่น ศิวลึงค์ โยนิโทรณะ พระวิษณุ พระพิฆเนศวร เป็นต้น ในระยะเดียวกันนี้ได้พบพระพุทธรูปและโบราณวัตถุในทางพระพุทธศาสนาทั้งหินยานและมหายานเป็นจำนวนมากในชุมชนโบราณเหล่านี้เช่นเดียวกัน ศาสนาทั้งสองนี้ได้วิวัฒนาการมาเป็นลำดับจนปัจจุบัน ศาสนาพราหมณ์ได้มอบมรดกทางวัฒนธรรมทั้งความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมไว้มากมายในนครศรีธรรมราช ศาสนาทั้งสองนี้จึงเจริญควบคู่กันมาโดยตลอด ในชุมชนโบราณในเขตเมืองนครศรีธรรมราชได้พบร่องรอยของคูน้ำ คันดิน และกำแพงเมืองโบราณที่มีอายุต่างกันอย่างน้อย ๒ เมืองอยู่ใกล้ ๆ กัน ภายในเมืองทั้งสองมีโบราณวัตถุสถานจำนวนมาก เมืองทั้งสองคือเมืองพระเวียงและเมืองโบราณนครศรีธรรมราช เป็นต้น
จากหลักฐานทางโบราณคดี ชี้ให้เห็นความเจริญทางการค้าของชุมชนโบราณในนครศรีธรรมราชว่ามีมานานแล้ว เช่น การพบเงินตราของฟูนันที่ชุมชนโบราณโมคลาน อำเภอท่าศาลา ซึ่งมีอายุอย่างน้อยก็ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ พบโบราณวัตถุของจีนเป็นจำนวนมาก เช่น เครื่องถ้วยนานาชนิดของราชวงศ์ถัง เหรียญในราชวงศ์ถัง อีแปะ และคันฉ่องสำริดของราชวงศ์ถัง เป็นต้น แหล่งโบราณคดีที่พบโบราณวัตถุในราชวงศ์ถังมากเป็นพิเศษคือ แหล่งโบราณคดีท่าเรือ และแหล่งโบราณคดีท้ายสำเภาในเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ได้ค้นพบเครื่องถ้วยจีนในชุมชนโบราณแห่งนี้ทุกสมัยนับแต่สมัยถังเป็นต้นมาแต่ที่พบมากที่สุด คือ สมัยซ้องหรือซุ่งกับสมัยเหม็ง มีทั้งที่สมบูรณ์และแตกหักนอกจากนี้ยังพบภาชนะดินเผาพื้นเมืองแบบต่าง ๆ ที่มีอายุร่วมสมัยอีกเป็นจำนวนมาก เช่น หม้อมีลายเขียนสีอายุราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ถึงราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เป็นต้นมา หม้อมีลายในเนื้อและกุณฑี (Kendi) อายุราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ถึงราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๔ เป็นต้น และโบราณวัตถุจำนวนมากมีอิทธิพลศิลปะเขมรปรากฏชัดว่ามีอายุในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗
ที่กล่าวมานี้ย่อมเห็นความสัมพันธ์ระหว่างหลักฐานทางเอกสารและหลักฐานทางโบราณคดีที่ เกี่ยวกับความเป็น “ตามพรลิงค์” หรือ “นครศรีธรรมราช” ได้อย่างชัดเจน และคงจะเห็นอารยธรรมของตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราชได้เป็นอย่างดี ซึ่งคงจะช่วยให้เห็นความรุ่งเรืองของตามพรลิงค์ที่สืบเนื่องมาเป็นนครศรีธรรมราชได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ
จากทรรศนะของนักวิชาการสามารถชี้ให้เห็นความต่อเนื่องของชื่อนครศรีธรรมราชที่ปรากฏในหลักฐานของไทยและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเมือง “ตามพรลิงค์” จะปรากฏชื่อในเอกสาร โบราณต่าง ๆ หลายเรื่อง กล่าวคือสามารถเชื่อมโยงได้ว่า “ตมฺพลิงฺคมฺ” (Tambalinggam) ที่ปรากฏครั้งแรกในคัมภีร์มหานิทเทสเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ นั้นคือชื่อ “ตามพรลิงค์” ตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ เมื่อ พ.ศ.๑๗๗๓ และมีศูนย์กลางหรือเมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองลิกอร์ (Ligor) ที่ชาวยุโรปรู้จักในพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ ทำให้เชื่อได้ว่า “ตามพรลิงค์” ได้ถือกำเนิดมานานแล้วตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗-๘ เป็นอย่างน้อยและชื่อตามพรลิงค์นี้ได้ปรากฏตามเอกสารจีนว่า “ตันมาลิง” (Tan-ma-Ling) หรือ “ตันเมลิว” หรือ “ตัน-เหมย-หลิว” (Tan-mei-liu) ส่วนพวกมลายูเรียกเมืองนครศรีธรรมราชว่า “ลีกอร์” หรือ “ลึกอร์” อันอาจจะเป็นเหตุให้ชาวยุโรปเรียกตามแต่เพี้ยนไปเป็น “ลิกอร์” (Ligor) หรือ “ลูกอร์” (Lugor) ส่วนชาวพื้นเมืองเรียกชื่อเมืองของตนว่า “เมืองนคร”
นครศรีธรรมราชเป็นศูนย์รวมแห่งศิลปะและวัฒนธรรมบนคาบสมุทรไทยเคยมีกษัตริย์ปกครองมานาน หลายช่วงที่เมืองนี้ปกครองทั้งแหลมมลายูทำนอง ๑๒ นักษัตร เมืองนี้รวมเป็นราชอาณาจักรไทยในสมัยอยุธยา แต่ดำรงฐานะเป็นเมืองเอกที่ปกครองหัวเมืองอื่น ๆ ในคาบสมุทรมาโดยตลอด ในตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีเมืองขึ้นตั้งแต่เมืองชุมพรลงไปจนถึงเมืองสลังงอต่อมามีฐานะเป็นมณฑลใน พ.ศ. ๒๔๓๙ ครั้น พ.ศ. ๒๔๗๖ ให้มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (ปรีชา นุ่นสุข)
ดูเพิ่มเติม นครศรีธรรมราช, จังหวัด ; ประวัติศาสตร์ภาคใต้