สงขลา, จังหวัด

สงขลาจังหวัด



ประวัติความเป็นมา

         ในท้องที่ต่าง ๆ ของจังหวัดสงขลามีหลายแห่งที่เคยเจริญเป็นชุมชนขนาดใหญ่ เป็นศูนย์อำนาจปกครองท้องถิ่นมาแล้ว เช่น เมืองสทิงพระ เมืองพัทลุงที่พะโคะ เมืองสงขลาริมเขาแดง เมืองสงขลาฝั่งแหลมสน เมืองสงขลาที่ตำบลบ่อยาง เมืองจะนะ และเมืองเทพา เป็นต้น ดังจะได้กล่าวถึงความเป็นมาของชุมชนเหล่านี้ในลำดับต่อไป

เชื่อกันว่าชุมชนขนาดใหญ่ในจังหวัดสงขลา เกิดขึ้นแห่งแรกที่บ้านสทิงหม้อ เป็นชุมชนท่าเรือชายฝั่งทะเลสาบสงขลา ชาวเมืองมีอาชีพเกี่ยวกับการค้าขายและหาปลา จึงเป็นชุมชนที่ไม่ถาวร และเสื่อมโทรมลงในระยะต่อมา ขณะเดียวกันก็เกิดชุมชนขนาดใหญ่กว่าขึ้นบนสันทรายเหนือบ้านสทิงหม้อ เป็นชุมชนแบบผสม กล่าวคือเป็นทั้งท่าเรือและทำการเกษตรกรรม จึงเป็นชุมชนที่ถาวรมั่นคงกว่าชุมชนที่กล่าวถึงนี้คือ “เมืองสทิงพระ” เป็นศูนย์การปกครองดินแดนรอบ ๆ ทะเลสาบที่เก่าแก่ที่สุดมาตั้งแต่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๙ ตัวเมืองตั้งอยู่บริเวณที่แคบที่สุดของคาบสมุทร มีการขุดคลองเชื่อมต่อระหว่างตัวเมืองกับทะเลสาบสงขลาและอ่าวไทย เป็นเมืองขนาดเล็ก มีพื้นที่ภายในตัวเมืองเพียง ๔๗.๖ ไร่เท่านั้น

         จากหลักฐานที่พบซึ่งส่วนใหญ่เป็นหลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่า ระยะแรกชาวเมืองสทิงพระนับถือศาสนาพราหมณ์ มีการนำเอาประเพณีของพราหมณ์มาใช้ จนกลายเป็นพระเพณีพื้นบ้านเพราะบรรดาศิลปวัตถุรุ่นแรก ๆ ที่พบ เช่น พระนารายณ์สวมหมวกแขก ศิวลึงค์ ถ้ำเทวสถาน และเทวรูปพระพิฆเนศวร ต่อมาชาวสทิงพระหันมานับถือศาสนาพุทธมหายาน และรับเอาประเพณีที่เกี่ยวกับพุทธศาสนามาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต มีการสร้างพระพุทธรูป สถูปเจดีย์ อุโบสถ วิหาร และวัดต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาขึ้นอย่างแพร่หลาย เป็นต้นว่า วัดเขาน้อย วัดเจดีย์งาม วัดจะทิ้งพระ วัดสีหยัง วัดพะโคะ ฯลฯ สถูปหลายแห่งเป็นแบบทรงกลม ตั้งอยู่บนฐาน ๔ เหลี่ยม มีเจดีย์แบบศรีวิชัย และบางแห่งสร้างด้วยหิน ปะการัง ซึ่งมีอยู่ทั่วไปบริเวณอำเภอสทิงพระและอำเภอระโนด ประเพณีและความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ และคติพุทธศาสนามหายานบางอย่าง ถูกนำมาผสมผสานกับประเพณีและความเชื่อในลัทธิดั้งเดิม จนกลายเป็นวิถีชีวิตพื้นฐานของชาวสทิงพระตั้งแต่ระยะนี้เองและกลายเป็นมรดกตกทอดมาถึงลูกหลานในปัจจุบัน ในลักษณะวัฒนธรรมพื้นบ้านที่แตกต่างไปจากชุมชนแห่งอื่น ขณะเดียวกันอำนาจทางการเมืองของสทิงพระก็เพิ่มพูนขึ้น อันสืบเนื่องมาจากการขยายตัวทางด้านการค้าต่างประเทศของจีน มีการติดต่อค้าขายตามระบบรัฐบรรณาการระหว่างอาณาจักรบริเวณทะเลสาบสงขลา ซึ่งเข้าใจว่าเป็นสทิงพระกับจีนสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๒๖๑-๑๔๕๐) ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๕

ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อาณาจักรที่มีวัฒนธรรมแบบศรีวิชัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง เพราะถูกรุกรานจากพวกโจฬะ จากอาณาจักรตันชอร์ทางภาคใต้ของอินเดีย ในขณะที่การค้าบริเวณทะเลใต้ของจีนเสื่อมโทรมลงจากความยุ่งยากทางการเมืองในจีน มีผลกระทบต่อสทิงพระอย่างมาก แต่เนื่องจากที่เป็นชุมชนเกษตร จึงสามารถรักษาสถานภาพเดิมไว้ได้แม้บ้านเมืองจะทรุดโทรมลงไปบ้าง

         ความเสื่อมอิทธิพลของวัฒนธรรมศรีวิชัยบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ เปิดโอกาสให้พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากศรีลังกาแพร่หลายเข้าแทนที่ ในชุมชนท่าเรือขนถ่ายสินค้าข้ามคาบสมุทรซึ่งคึกคักขึ้นอีกจากการขยายตัวทางด้านการค้าในศรีลังกา เมืองสทิงพระเริ่มเจริญขึ้นใหม่จากการค้าการรับเอาพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ และศิลปวิทยาการที่เกี่ยวข้องเข้ามา การขึ้นสู่อำนาจของพวกมองโกลในจีนระหว่างปี พ.ศ.๑๘๒๒-๑๙๑๑ และราชวงศ์มัชปาหิตในชวาในปี พ.ศ.๑๘๓๖ ล้วนมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการขยายตัวทางด้านการค้าของสทิงพระ พวกอาหรับที่เข้าไปค้าขายกับจีนได้อาศัยท่าเรือของสทิงพระเป็นที่แวะพักเรือสินค้าและรับซื้อสินค้าพื้นเมืองด้วย ความมั่งคั่งจากการค้าถูกนำไปใช้ในการสร้างสรรค์ศิลปวัตถุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเจดีย์ วิหาร วัดวาอาราม พระพุทธรูป และศิลปะที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จึงปรากฏร่องรอยของศิลปวัตถุในยุคนี้อย่างมากมายบนคาบสมุทรเล็ก ๆ ของสทิงพระ ขณะเดียวกันพุทธศาสนาลัทธิลังกา ซึ่งมีลักษณะเป็นศาสนาสำหรับมวลชนมากกว่าชนชั้นปกครอง ได้ถูกพระสงฆ์ในลัทธินี้นำออกเผยแผ่แก่มวลชนอย่างกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดกว่าในยุคใด ๆ ที่ผ่านมา พระสงฆ์ลัทธิลังกาวงศ์นำเอาหลักจริยธรรม วิถีชีวิตแบบใหม่ที่สมถะอย่างชาวบ้าน และความเชื่อในเรื่องสวรรค์ นรก ตายแล้วเกิดบาปบุญคุณโทษ และกฎแห่งกรรมออกสู่มวลชนอย่างกว้างขวางจนกลายเป็นความเชื่อพื้นฐานของชาวสทิงพระที่ต่อเติมเข้าไปในความเชื่อเก่า ๆ ในขณะที่วัดวาอารามและศาสนวัตถุอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเริ่มกลายเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นและสทิงพระเป็นศูนย์กลางของชุมชนต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ชุมชนหลายแห่งเริ่มขยายตัวออกไป มีการประกอบอาชีพหลากหลายขึ้น ตั้งแต่การกสิกรรม การค้า ช่างฝีมือและหัตถกรรมในครัวเรือน

          ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ชื่อเมืองสทิงพระเลือนหายไปกลายเป็นตำนาน ขณะเดียวกันชุมชนแห่งใหม่ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันเจริญขึ้นมาแทนคือ “เมืองพัทลุงที่พะโคะ” ตั้งอยู่ที่วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระปัจจุบัน ในประชุมพระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนาสมัยอยุธยา และพงศาวดารเมืองพัทลุง ได้ออกชื่อเจ้าเมืองสทิงพระไว้ ๒ คน คือ เจ้าพระยากรุงทอง เจ้าเมืองสทิงพระสมัยสุโขทัย และพระยาธรรมรังคัล (ธำรง) เป็นเจ้าเมืองต้นสมัยอยุธยา ส่วนการย้ายที่ตั้งเมืองและเปลี่ยนชื่อนั้นไม่ปรากฏสาเหตุ แต่เข้าใจว่าเริ่มเปลี่ยนในระยะที่มีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.๑๙๙๑-๒๐๓๑) ชื่อเมืองพัทลุงจึงปรากฏขึ้นครั้งแรกในพระไอยการตำแหน่งนายทหารหัวเมือง พระราชบัญญัติที่ประกาศใช้ในปี พ.ศ.๑๙๙๘

เมืองพัทลุงที่วัดพะโคะได้กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของชุมชนที่นับถือพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ทางใต้สุด ในขณะที่เป็นทั้งชุมชนท่าเรือและการเกษตรอย่างเดิม ความรุ่งเรืองทางศาสนาในเมืองนี้มีสิ่งยืนยันทั้งที่เป็นศาสนวัตถุ ศาสนสถาน และหลักฐานที่เป็นเอกสาร สถานภาพของพัทลุงในระยะนี้ได้กลายเป็นชุมชนอิสระเป็นเอกเทศจากนครศรีธรรมราช และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอยุธยา จึงทำให้เข้าใจว่าเมืองสำหรับสร้างดุลยภาพทางการเมืองบริเวณคาบสมุทรด้วย ทางฝ่ายอยุธยาจึงส่งขุนนางและพระสงฆ์ออกมากินเมืองและสร้างศาสนสถานที่สำคัญคือ วัดพะโคะ วัดหลวงกลางเมืองพัทลุง

         แต่ปัญหาสำคัญที่เมืองพัทลุงที่พะโคะต้องประสบ และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการย้ายเมืองบ่อย ๆ คือ การคุกคามจากโจรสลัดบริเวณช่องแคบมะละกา ซึ่งได้ยกกำลังเข้าปล้นเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราชหลายครั้ง ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๒ ในเอกสารของไทยออกชื่อพวกโจรที่เข้าปล้นต่างกัน เป็นต้นว่า พวกอาแจะ อาหรู และพวกอูยองตะหนะ พวกโจรเหล่านี้เข้าทำลายวัดวาอาราม บ้านเรือนราษฎร และจับราษฎรไปหลังจากเผาและยึดเมืองได้จึงทำให้เกิดภาวะระส่ำระสายทุกครั้ง หลักจากการโจมตีของพวกโจร เมืองพัทลุงที่พะโคะจึงต้องพึ่งพาอยุธยามากขึ้น ไม่ว่าทางด้านการให้ความคุ้มครองหรือการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นใหม่ก็ตาม จึงมีการกัลปนาวัดในเมืองพัทลุงเกือบทั้งหมดมาขึ้นกับวัดหลวงที่พะโคะในปี พ.ศ.๒๑๕๓ เพื่อใช้วัดซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนเป็นศูนย์รวมพลังความสามัคคีและความกล้าหาญเพื่อปกป้องชุมชนและศาสนา สถาบันศาสนาจึงไม่เพียงแต่เป็นผู้นำทางจริยธรรม สืบทอดวัฒนธรรมและศิลปะเท่านั้น แต่ได้กลายเป็นผู้นำในการสร้างความมั่นคงและความเป็นปึกแผ่นของชุมชนด้วย วัดในพระพุทธศาสนาได้กลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดของชุมชนไปจนบางครั้งมีบทบาทสูงกว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเสียอีก แต่อย่างไรก็ตามสถาบันศาสนายังอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ในหัวเมืองที่ห่างไกล ทางฝ่ายอยุธยาพยายามที่จะใช้สถาบันศาสนาเพื่อปกป้องและรักษาพระราชอาณาเขตที่ห่างไกลจากศูนย์แห่งพระบรมเดชานุภาพ เช่น ที่เมืองพัทลุง เป็นต้น ยุทธวิธีเช่นนี้นับว่าได้ผลพอสมควรในระยะยาว กล่าวคือก่อให้เกิดพลังศรัทธายึดมั่นในอำนาจของพระรัตนตรัยฝังแน่นในจิตใจของชาวเมืองพัทลุง จนยากที่หลักคำสอนและลัทธิศาสนาอื่นจะแพร่เข้ามาแทนที่ได้ การแพร่ของศาสนาอิสลามในบริเวณคาบสมุทรมลายูทำให้สงขลาเป็นขอบรอยต่อระหว่างคน ๒ ศาสนาและ ๒ เชื้อชาติไปด้วย

          แต่ผลระยะสั้นของการโจมตีจากพวกโจรสลัด ทำให้เมืองพัทลุงที่พะโคะค่อย ๆ เสื่อมโทรมลงไป ราษฎรบางส่วนพากันอพยพไปสร้างชุมชนใหม่ที่ปลอดภัยมากกว่า หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดชุมชนขนาดใหญ่ขึ้น ๒ แห่งบริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบสงขลา คือบริเวณริมเขาแดง ปากทะเลสาบสงขลา ซึ่งขยายใหญ่ขึ้นเป็นเมืองสงขลาริมเขาแดง และอีกแห่งหนึ่งที่บางแก้ว อำเภอเขาชัยสน ซึ่งค่อย ๆ ขยายตัวเป็นเมืองพัทลุงฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลา

ในพระไอยการตำแหน่งนายทหารหัวเมือง พ.ศ.๑๙๙๘ ออกชื่อราชทินนาม บรรดาศักดิ์ และศักดินาเจ้าเมืองพัทลุงไว้ว่า ออกญาแก้วเการพพิไชยภักดีบดินทรเดโชไชย อภัยพิริยภาหุ ออกญาพัตะลุง เมืองตรี นา ๕๐๐ ขึ้นประแดงอินปัญาซ้าย สำหรับเจ้าเมืองพัทลุงที่พะโคะมีรายชื่อเท่าที่ปรากฏอยู่เพียง ๑๑ คน คือ ออกเมืองราช ณ แสน ออกพระสูรราชา ออกหลวงเยาวราชเดชะ ออกเมืองภักนเทพ ออกเมืองคำ ออกขุนเทพตำรวจ ขุนหลวงศรีสาคร ออกญาจักรี ออกหลวงเพชรกำแหง ออกหลวงชัยราชาราชสงคราม และออกญาแก้วเการพพิชัย

          ระหว่างปี พ.ศ.๒๑๖๒-๒๒๒๓ เป็นเวลานานถึง ๖๑ ปี ที่ชุมชนบริเวณริมเขาแดง ได้เจริญขยายตัวเป็นเมืองสำคัญ ซึ่งรู้จักกันในนามของเมือง “สงขลาริมเขาแดง” เป็นชุมชนค้าขายที่มีท่าเรือน้ำลึกปานกลางหลายแห่ง การขยายตัวของเมืองสงขลาเกิดจากการขยายตัวของการค้าต่างประเทศบริเวณปลายแหลมมลายู และหมู่เกาะเป็นสำคัญ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมืองสงขลาในยุคนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวต่างชาติ คือ พวกมลายูอพยพจากหมู่เกาะอินโดนีเซีย ซึ่งอาจจะเป็นพวกมักกะสัน (บูกิส) หรือมาเลย์กลุ่มอื่น ๆ ที่นับถือศาสนาอิสลาม พวกมลายูเหล่านี้ได้หลบหนีการค้าแบบผูกขาดของพวกดัตช์ มาเปิดสถานีการค้าแบบเสรีขึ้นที่เมืองสงขลา โดยมีอังกฤษเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังในระยะแรกคือ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๖๒-๒๑๘๕ เจ้าเมืองสงขลายังยอมรับอำนาจของอยุธยา แต่หลังจากนั้นได้ก่อกบฏต่อกรุงศรีอยุธยา ปกครองเมืองสงขลาต่อมาจนถึงสมัยเจ้าเมืองคนที่ ๒ (พ.ศ. ๒๒๑๑-๒๒๒๓) ทางฝ่ายไทยจึงสามารถยึดและทำลายเมืองสงขลาได้สำเร็จ ในปี พ.ศ.๒๒๒๓ เมืองสงขลาริมเขาแดงก็ถึงกาลอวสานลงพร้อมกับอิทธิของพวกมลายูและศาสนาอิสลามถูกขจัดออกไปด้วย

บทเรียนครั้งนั้น รัฐบาลกลางได้ปล่อยให้สงขลาทรุดโทรมต่อมาอีกหลายปี ลดฐานะลงเป็นเมืองขึ้นเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ.๒๒๔๒-๒๓๑๙ ที่ตั้งตัวเมืองสงขลาในระยะนี้อยู่บริเวณบ้านแหลมสนปลายสุดของคาบสมุทร ตรงข้ามกับที่ตั้งตัวเมืองสงขลาปัจจุบัน เจ้าเมืองส่วนใหญ่เป็นไทยพุทธ ในระยะนี้จึงเรียกว่า “เมืองสงขลาฝั่งแหลมสน”

          ในสมัยกรุงธนบุรี เมืองสงขลาฝั่งแหลมสนเริ่มมีบทบาทสำคัญขึ้นใหม่อีกครั้ง เนื่องจากการค้าระหว่างเมืองสงขลากับภาคใต้ของจีนเจริญขึ้นและมีคนจีนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองสงขลาจำนวน มาก กลายเป็นกลุ่มอิทธิพลใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในเมืองสงขลา หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แต่งตั้งหัวหน้าคนจีนเป็นนายอากรรังนกในปี พ.ศ.๒๓๑๒ และเป็นเจ้าเมืองอีก ๘ ปี ต่อมาเมืองสงขลาก็ถูกยึดครองโดยเจ้าเมืองในตระกูล ณ สงขลา ติดต่อกันมาถึง ๘ คน ระหว่างปี พ.ศ.๒๓๑๘-๒๔๔๔ เป็นเวลานานถึง ๑๒๖ ปี เจ้าเมืองสงขลาทั้ง ๘ คนนี้ คือ พระยาสงขลา (พ.ศ.๒๓๑๘-๒๓๒๗) เจ้าพระยาพิไชยคิรี (บุญฮุย พ.ศ.๒๓๒๗-๒๓๕๕) พระยาวิเศษภักดี (เถี้ยนจ๋ง พ.ศ.๒๓๕๕-๒๔๖๐) พระยาวิเชียรคิรี (เถี้ยนเส้ง พ.ศ.๒๓๖๐-๒๓๙๐) เจ้าพระยาวิเชียรคิรี (บุญสังข์ พ.ศ.๒๓๙๐-๒๔๐๗) เจ้าพระยาวิเชียรคิรี (เม่น พ.ศ.๒๔๐๗-๒๔๒๔) พระยาวิเชียรคิรี (ชุ่ม พ.ศ.๒๔๒๔-๒๔๓๑) และพระยาวิเชียรคิรี (ชม พ.ศ.๒๔๓๑-๒๔๔๔)

           เจ้าเมืองสงขลาทั้ง ๘ คนนับว่ามีส่วนสำคัญในการวางพื้นฐานความเจริญทางด้านต่าง ๆ ในเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน (พ.ศ.๒๓๑๘-๒๔๔๔) และเมืองสงขลาตำบลบ่อยาง หรือเมืองสงขลาปัจจุบันไว้อย่างมากมาย ตั้งแต่การพัฒนาเมืองสงขลาจากเมืองเล็ก ๆ เมืองตรี เมืองบริวารของนครศรีธรรมราช มีอาณาเขตเพียงอำเภอเมืองสงขลา หาดใหญ่ และสทิงพระเท่านั้น ไปจนกระทั่งเป็นเมืองขนาดใหญ่ เมืองโท มีอาณาเขตขยายออกไปมีแขวงขึ้น ๑๔ แขวง คือ วังชิง พะตง การำ รัตภูมิ พะวง สทิงพระ พะโคะ ระโนด กำแพงเพชร (เดิมอำเภอกำแพงเพชร ขึ้นแขวงเมืองพัทลุง ให้ยกมาขึ้นเมืองสงขลาเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๑) พะเกิด ที่เมือง ที่วัง ที่นา และที่คลัง มีเมืองจะนะซึ่งกินอาณาบริเวณ ๔ อำเภอ คือ จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา เป็นเมืองขึ้น มีเมืองมลายู ๗ เมือง เป็นเมืองบริวารคือ ปัตตานี ยะลา สายบุรี หนองจิก ระแงะ รามัน และยะหริ่ง เจ้าเมืองมียศเจ้าพระยาถึง ๓ คน จากเมืองท่าเรือเล็ก ๆ เป็นเมืองท่าศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และเป็นที่ตั้งที่ว่าการมณฑลนครศรีธรรมราชระหว่างปี พ.ศ.๒๔๓๙-๒๔๗๖ มีกิจการค้ากับกรุงเทพมหานคร สิงคโปร์ และอื่น ๆ อย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีการปฏิรูปการภาษีจากระบบส่งส่วยมาเป็นเก็บภาษีผูกขาดก่อนที่จะพัฒนาไปสู่การเก็บเป็นหลวงในระยะหลังและที่สำคัญยิ่งคือมีการก่อสร้างศิลปวัตถุ และศาสนสถานไว้มากมายบริเวณ ๒ ฝั่งปากทะเลสาบ

          เมืองสงขลาฝั่งแหลมสนมีปัญหาเกี่ยวกับสถานที่คับแคบกันดารน้ำที่จะอุปโภค ไม่สามารถขยายเป็นเมืองใหญ่ได้จึงย้ายที่ตั้งตัวเมืองจากเดิมไปตั้งที่ตำบลบ่อยางในปี พ.ศ.๒๓๘๕ หลังจากนั้นก็เจริญและขยายตัวอย่างรวดเร็วจนทัดเทียมเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อมีการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทางฝ่ายรัฐบาลจึงเลือกเมืองสงขลาเป็นที่ตั้งที่ว่าการมณฑลนครศรีธรรมราช และเริ่มส่งพระวิจิตรวรสาสน์ (ปั้น สุขุม) ลงมาเป็นข้าหลวงพิเศษว่าราชการเมืองสงขลาในปี พ.ศ.๒๔๓๘ เป็นแห่งแรกก่อนจึงจัดตั้งมณฑลในปีต่อมา ในการปฏิรูปเมืองสงขลาครั้งนั้น มีการยุบรวมแขวงต่าง ๆ ทั้ง ๑๔ แขวง พร้อมด้วยเมืองจะนะและเทพา เป็นอำเภอต่าง ๆ ซึ่งเมื่อจัดเสร็จในปี พ.ศ.๒๔๔๐ เมืองสงขลาแบ่งออกเป็น ๕ อำเภอ คือ อำเภอกลางเมือง ปละท่า (สทิงพระ) ฝ่ายเหนือ จะนะและเทพา จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๕๒ มีการโอนที่สะเดาจากอำเภอจังโหลน มาขึ้นอำเภอเหนืออีกแห่งหนึ่ง

          ในการปฏิรูปมณฑลนครศรีธรรมราชครั้งนั้นมีการสร้างทางหลวงเชื่อมต่อระหว่างสงขลากับหัวเมืองใกล้เคียง มีการจัดระบบไปรษณีย์โทรเลข และมีเรือเมล์เดินติดต่อระหว่างสงขลากับกรุงเทพมหานคร เมืองต่าง ๆ ทางภาคใต้ และสิงคโปร์ทำให้เมืองสงขลาขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผลจากการเปิดประเทศตอนปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ สงขลาได้กลายเป็นเมืองท่าศูนย์การค้าทางภาคใต้ และการนำพืชเศรษฐกิจจากภายนอกเข้ามาปลูกโดยปลูกยางพารา เพื่อขายเอาเงินก็ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากสร้างทางรถไฟสำเร็จใน พ.ศ.๒๔๖๐ อำเภอเหนือ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอหาดใหญ่ ก็ได้กลายเป็นชุมทางรถไฟที่ใหญ่ที่สุดทางใต้กลายเป็นศูนย์การค้ายางพารา และแร่ดีบุก การจัดตั้งสถานีทดลองยางพารา ศูนย์วิจัยการยาง และสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางขึ้นที่อำเภอหาดใหญ่ มีส่วนให้การปลูกยางขยายตัวอย่างรวดเร็ว การขยายตัวของการผลิตเพื่อขายทำให้การค้าขยายตัวไปยังชุมชนต่าง ๆ ชุมชนเหล่านั้นเจริญขึ้นมีการแบ่งตำบลที่อยู่ในสังกัดแยกออกไปตั้งอำเภอใหม่ เป็นต้นว่า แยกที่กำแพงเพชรออกจากอำเภอเหนือ ไปตั้งเป็นกิ่งอำเภอ และภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอรัตภูมิ แยกที่ตำบลสะเดาในปี พ.ศ.๒๔๖๐ ในปีเดียวกันยกกิ่งอำเภอระโนด ขึ้นเป็นอำเภอระโนด ในปี พ.ศ.๒๔๗๖ เปลี่ยนชื่ออำเภอปละท่า เป็นอำเภอจะทิ้งพระ และภายหลังเปลี่ยนเป็นสทิงพระ ปีเดียวกันก็ได้แยกที่อำเภอเทพาไปตั้งกิ่งอำเภอบาโหย ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอสะบ้าย้อย ในปี พ.ศ.๒๔๗๕ แบ่งอำเภอจะนะออกเป็นกิ่งอำเภอนาทวีอีกแห่งหนึ่ง และยกขึ้นเป็นอำเภอในปี พ.ศ.๒๔๙๙ ภายหลังจากมีการตั้งกิ่งอำเภอขึ้นอีก ๔ กิ่งอำเภอคือ กระแสสินธุ์ นาหม่อม ควนเนียง และบางกล่ำ และต่างก็ได้ยกขึ้นเป็นอำเภอในระยะต่อมา

         หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ การผลิตเพื่อขายในจังหวัดสงขลาได้ขยายตัวจากยางพารา ดีบุกไปยังสาขาเศรษฐกิจใหม่ ๆ เป็นต้นว่าการประมง และอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้า ขณะเดียวกันกิจการค้าก็ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในอำเภอหาดใหญ่ อำเภอเมืองสงขลาและบริเวณชายแดน การขยายหน่วยงานสาขาของส่วนกลางมาตั้งที่สงขลามีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจของสงขลาคึกคักและขยายตัวอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับการหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับการบริการ โดยเฉพาะโรงแรม ภัตตาคาร ห้องอาหาร และศูนย์การค้าเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ภาวะเช่นนี้ทำให้จังหวัดสงขลาปัจจุบันกลายเป็นจังหวัดที่มีสภาพทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ๒ รูปแบบซ้อนกันอยู่ คือสภาพสังคมแบบสมัยใหม่ที่มีชีวิตสะดวกสบายในตัวเมือง กับสภาพแบบเก่าที่ยึดถือขนมธรรมเนียมประเพณีเก่า ๆ ซึ่ง สืบทอดติดต่อกันมากว่า ๑,๐๐๐ ปี

สภาพทั่วไป

สงขลา เป็นจังหวัดทางภาคใต้ตอนล่าง ด้านชายฝั่งทะเลตะวันออก อยู่ระหว่างละติจูดที่ ๖ องศา ๑๔ ลิปดา ถึง ๗ องศา ๕๖ ลิปดาเหนือ และลองจิจูดที่ ๑๐๐ องศา ๐๑ ลิปดา ถึง ๑๐๑ องศา ๐๗ ลิปดาตะวันออก มีพื้นที่ทั้งหมด ๗,๓๙๓.๘๘๙ ตารางกิโลเมตร มากเป็นอันดับ ๓ ของภาคใต้ รองจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถไฟ ๙๔๗ กิโลเมตร ทางหลวงแผ่นดิน ๙๕๐ กิโลเมตร

อาณาเขตติดต่อ

ทิศเหนือ ติดจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดพัทลุง
ทิศใต้ ติดจังหวัดยะลา จังหวัดปัตตานีและรัฐเคดาห์ รัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเชีย
ทิศตะวันออก ติดอ่าวไทย
ทิศตะวันตก ติดจังหวัดพัทลุงและจังหวัดสตูล

ลักษณะภูมิประเทศ แตกต่างกันไปตามลักษณะพื้นที่ แบ่งได้เป็น ๓ ลักษณะคือ พื้นที่ราบชายฝั่งทะเล เกิดจากการทับถมของแม่น้ำและการกระทำของคลื่น ตั้งแต่ด้านเหนือของจังหวัดในอำเภอระโนด อำเภอสทิงพระ (บริเวณคาบสมุทรสทิงพระ) ตามชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย จนถึงอำเภอเมืองสงขลา อำเภอจะนะและอำเภอเทพา พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ ได้แก่ ที่ราบลุ่มน้ำคลองรัตภูมิ ที่ราบลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ที่ราบลุ่มน้ำคลองนาทวี ที่ราบลุ่มน้ำคลองเทพา นอกจากนี้ มีที่ราบลุ่มที่เกิดจากการทับถมของตะกอนรอบทะเลสาบสงขลา โดยมีสภาพเป็นป่าชายเลนและป่าพรุ พื้นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ เป็นแนวเขาจากทิศตะวันตกในแนวเทือกเขาบรรทัด ต่อมาทางทิศใต้ในแนวเทือกเขาสันกาลาคีรี กั้นพรมแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย เป็นต้นกำเนิดลำน้ำสำคัญ ๆ ที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาและอ่าวไทย นอกจากนี้มีทะเลสาบสงขลาเป็นทะเล น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำที่อุดมสมบูรณ์และมีประโยชน์ในหลายด้านทั้งทางการชลประทาน เกษตรกรรมและคมนาคมขนส่ง
ลักษณะภูมิอากาศ เป็นแบบมรสุมเมืองร้อน มี ๒ ฤดู ฤดูฝนและฤดูร้อน ฤดูฝน เริ่มจากเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม โดยได้รับอิทธิพลลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ฤดูร้อน เริ่มจากเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกันยายน โดยได้รับอิทธิพลลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ อุณหภูมิโดยเฉลี่ยตลอดปี ประมาณ ๒๗.๙ องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยประมาณ ๒,๐๓๕.๑ มิลลิเมตรต่อปี ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยตลอดปีประมาณร้อยละ ๘๓
การปกครอง ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ.๒๕๔๙ แบ่งเขตการปกครองจังหวัดสงขลาออกเป็น ๑๖ อำเภอ ๑๒๕ ตำบล ๑,๐๑๙ หมู่บ้าน ๒๓ เทศบาล และ ๑๐๙ องค์การบริหารส่วนตำบล มีรายชื่ออำเภอดังนี้ อำเภอเมืองสงขลา อำเภอสทิงพระ อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอระโนด อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอรัตภูมิ อำเภอสะเดา อำเภอหาดใหญ่ อำเภอนาหม่อม อำเภอควนเนียง อำเภอบางกล่ำ อำเภอสิงหนคร และอำเภอคลองหอยโข่ง
ประชากร จำนวนประชากร ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๙ จังหวัดสงขลามีประชากรทั้งสิ้น ๑,๐๓๒,๔๒๑ คน เป็นชาย ๖๒๗,๓๕๕ คน เป็นหญิง ๖๕๕,๐๖๖ คน ความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ยทั้งจังหวัด ๑๗๖ คนต่อตารางกิโลเมตร อำเภอเมืองสงขลามีประชากรหนาแน่นที่สุด ๕๐๗ คนต่อตารางกิโลเมตร รองลงมาคือ อำเภอหาดใหญ่ ความหนาแน่นประชากร ๔๖๕ คนต่อตารางกิโลเมตร อำเภอสะบ้าย้อยมีประชากรเบาบางที่สุด ๗๑ คนต่อตารางกิโลเมตร
การคมนาคมขนส่ง สงขลานับเป็นจังหวัดศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งที่สำคัญที่สุดของภาคใต้ สามารถติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง กรุงเทพฯ และประเทศเพื่อนบ้านได้สะดวก ทางบก มีถนนสายสำคัญได้แก่ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔ จากกรุงเทพมหานครถึงจังหวัดสงขลา สิ้นสุดเส้นทางที่เขตชายแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซีย บริเวณบ้านคลองพรวน อำเภอสะเดา ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๒ เชื่อมต่อจังหวัดสงขลากับจังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๓ เชื่อมต่ออำเภอรัตภูมิ อำเภอหาดใหญ่ อำเภอนาหม่อมและอำเภอจะนะ นอกจากนี้ทางหลวงท้องถิ่นและถนนชนบท เชื่อมต่อระหว่างอำเภอและตำบลหมู่บ้าน ทางรถไฟ มีสถานีรถไฟหาดใหญ่เป็นชุมทางที่ใหญ่ที่สุดในการขนส่งคนโดยสารและสินค้าของภาคใต้ ทางน้ำ มีท่าเทียบเรือที่สำคัญ ๓ แห่ง คือ ท่าเทียบเรือน้ำลึกสงขลา ตั้งอยู่บริเวณหัวเขาแดงด้านนอก ท่าเทียบเรือประมงของเทศบาลสงขลา ตั้งอยู่บริเวณท่าสะอ้าน ตำบลเขารูปช้าง เป็นท่าเทียบเรือประมงที่สำคัญที่สุดของภาคใต้ และท่าเทียบเรือของกองทัพเรือ บริเวณหน้าสถานีทหารเรือสงขลา ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือที่สำคัญทางยุทธศาสตร์สำหรับจอดเรือรบและส่งกำลังบำรุง ทางอากาศ มีสนามบิน ๒ แห่ง คือ สนามบินสงขลา ซึ่งเป็นเขตกองทัพเรือและท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ เป็นท่าอากาศยานที่ใช้ติดต่อได้ทั้งในและนอกประเทศ
แหล่งน้ำและการชลประทาน มีแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศคือ ทะเลสาบสงขลา มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ ๑,๐๔๐ ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ ๖๑๖,๗๕๐ ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ ๓ จังหวัด คือ สงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนคือ ทะเลสาบสงขลา ทะเลหลวง และทะเลน้อย ในส่วนของทะเลสาบสงขลามีลักษณะเป็นน้ำเค็มมีทางเปิดออกสู่อ่าวไทย ส่วนทะเลหลวงซึ่งลึกเข้าไปจะมีลักษณะเป็นน้ำกร่อย และทะเลน้อยมีลักษณะเป็นน้ำจืด นอกจากนี้มีลำคลองหลายสาย ที่สำคัญได้แก่ คลองอู่ตะเภา ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาสันกาลาคีรี ในตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา ไหลผ่านอำเภอสะเดา อำเภอหาดใหญ่ ไปลงสู่ทะเลสาบ ยาวประมาณ ๙๐ กิโลเมตร คลองวาด ต้นน้ำเกิดจากทิวเขาตะนาวศรี ในอำเภอหาดใหญ่ ไหลลงสู่คลองอู่ตะเภา ยาวประมาณ ๓๗ กิโลเมตร คลองเทพา ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาสันกาลาคีรี ไหลไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านอำเภอสะบ้าย้อย อำเภอเทพา ลงสู่อ่าวไทยยาวประมาณ ๘๐ กิโลเมตร คลองนาทวี ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาสันกาลาคีรี ไหลไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านอำเภอนาทวี อำเภอจะนะ รวมกับคลองสะกอม ไหลลงสู่อ่าวไทยที่บ้านปากบาง ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ ยาวประมาณ ๗๐ กิโลเมตร คลองรัตภูมิ ต้นน้ำเกิดจากทิวเขาตะนาวศรี ลำน้ำตอนต้นไหลลงทางทิศเหนือแล้วมาทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านอำเภอรัตภูมิและไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา คลองต่ำ ต้นน้ำเกิดจากทิวเขาตะนาวศรี ไหลลงมาทางตะวันออกเฉียงเหนือลงสู่คลองอู่ตะเภาใกล้อำเภอหาดใหญ่ เป็นต้น การชลประทานส่วนใหญ่ เป็นโครงการส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก เป็นโครงการขนาดกลางและขนาดเล็ก มีการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญ คือ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา โครงการพัฒนาชายฝั่งตะวันออก เป็นต้น
โครงสร้างทางเศรษฐกิจ ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ จังหวัดสงขลามีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม ๑๓๖,๖๖๓ ล้านบาทตามราคาตลาด รายได้เฉลี่ยของประชากรต่อคน ๑๐๓,๗๘๕ บาท ภาคเกษตรกรรม มีมูลค่าผลิตภัณฑ์ ๓๔,๗๘๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ๓๓.๕๒ ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งจังหวัด โดยมีมูลค่าผลิตภัณฑ์รวมด้านกสิกรรม ปศุสัตว์ และป่าไม้ ๒๑,๕๑๕ ล้านบาท มูลค่าผลิตภัณฑ์ด้านการประมงและสัตว์น้ำ ๑๓,๒๗๐ ล้านบาท ภาคพาณิชยกรรม มีมูลค่าผลิตภัณฑ์ ๑๐๑,๘๗๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๖.๔๘ ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งจังหวัด โดยแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ได้แก่ การค้าส่งและค้าปลีก มีมูลค่าผลิตภัณฑ์รวม ๒๕,๑๗๘ ล้านบาท การบริการและการขนส่ง มีมูลค่าผลิตภัณฑ์รวม ๒๘,๒๑๒ ล้านบาท การอุตสาหกรรม มีมูลค่าผลิตภัณฑ์รวม ๔๒,๐๙๒ ล้านบาท การก่อสร้าง มีมูลค่าผลิตภัณฑ์ ๕,๖๔๓ ล้านบาท และอื่น ๆ มีมูลค่าผลิตภัณฑ์ ๗๕๒ ล้านบาท
ภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจจังหวัดสงขลา ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ หดตัวลงจากปีก่อน ตามการลดลงของพืชผลเกษตร โดยเฉพาะผลผลิตยางพารา เนื่องจากผลกระทบจากความแห้งแล้งในช่วงต้นปี และช่วงไตรมาส ๔ มีฝนตกชุกและเกิดอุทกภัยอย่างหนัก ทำให้จำนวนวันที่สามารถกรีดยางได้ในปีนี้น้อยกว่าปีก่อน ด้านธุรกิจประมงทะเลตกอยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่อง เป็นผลกระทบโดยตรงจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ค่าแรงงานที่สูงขึ้น และยังมีปัญหาด้านสัมปทานประมงในน่านน้ำประเทศเพื่อนบ้าน ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผลผลิตลดลงจากปีก่อน เนื่องจากแหล่งเพาะเลี้ยงที่สำคัญได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากภาวะน้ำท่วม และราคาการส่งออกกุ้งที่ตกต่ำ

การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงจากปีก่อน เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ และปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน และต้นทุนอื่น ทำให้มีการผลิตลดลง อุตสาหกรรมที่ผลิตลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมยาง อาหารทะเลกระป๋อง อาหารทะเลแปรรูปและแช่แข็ง การท่องเที่ยวหดตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เหตุการณ์วางระเบิดที่อำเภอหาดใหญ่และภาวะอุทกภัยในช่วงปลายปี นอกจากนี้การบริโภคภาคเอกชนยังชะลอตัวตามรายได้ที่ลดลงของประชาชน
ทรัพยากรธรรมชาติ ที่สำคัญได้แก่ ดิน ป่าไม้ แร่ธาตุ และสัตว์น้ำ ในปี พ.ศ.๒๕๔๘ มีพื้นที่ถือครองทางการเกษตร ๑,๙๗๙,๔๙๘ ไร่ พื้นที่ป่าไม้ ๓๗๑,๓๒๙ ไร่ และเนื้อที่อื่น ๆ ๒,๒๗๐,๓๕๔ ไร่ พื้นที่ป่าไม้ประกอบด้วยป่าสงวนแห่งชาติ ๔๑ แห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ๑ แห่ง เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ๔ แห่ง อุทยานแห่งชาติ ๒ แห่ง สวนป่า ๘ แห่ง สวนรุกขชาติ ๑ แห่ง สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีภาคใต้ ๑ แห่ง
แหล่งท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญ สงขลาเป็นแหล่งโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มีความสำคัญหลายสมัยติดต่อกัน มีแหล่งสะสมโบราณวัตถุที่สำคัญ ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติวัดมัชฌิมาวาส และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา อีกทั้งในเขตอำเภอสทิงพระ อำเภอระโนด และอำเภอเมืองสงขลา ยังเป็นแหล่งที่ตั้งของโบราณสถานตั้งแต่ยุคแรก ๆ มาจนกระทั่งปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นที่วัดพะโคะ วัดเจดีย์งาม วัดจะทิ้งพระ หรือป้อมที่เขาแดง รวมทั้งโบราณสถานที่เกี่ยวกับตระกูล ณ สงขลา ในเขตอำเภอสิงหนครที่กระจัดกระจายอยู่บริเวณ ๒ ฝั่งของปากทะเลสาบสงขลา ตั้งแต่วัดวาอาราม เจดีย์ ป้อมปราการ อุโบสถ วิหาร กำแพงวัด กำแพงเมือง ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง รวมทั้งสุสานของตระกูล ณ สงขลาด้วย

          นอกจากแหล่งโบราณสถานและโบราณวัตถุแล้ว สงขลายังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกมากมาย หาดทรายที่สำคัญ ได้แก่ หาดสมิหลา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า แหลมหินอยู่ในเขตเทศบาลเมืองสงขลาด้านตะวันออก มีศาลาที่พัก หลักเขตศุลกากรและมีรูปปั้นนางเงือกตั้งอยู่ หาดเก้าเส้ง อยู่ทางใต้หาดสมิหลาห่างไปประมาณ ๓ กิโลเมตร มีภูเขาเตี้ย ๆ และโขดหินระเกะระกะริมทะเล มีหินอยู่ก้อนหนึ่งตั้งเด่นตรงหน้าผาชาวบ้าน เรียกว่า "หัวนายแรง" ซึ่งมีนิทานพื้นบ้านประกอบ นอกจากนี้ก็มีหาดทรายแก้ว อำเภอสิงหนคร หาดมหาราช อำเภอสทิงพระ หาดปากบางสะกอม อำเภอเทพา หาดปากบางนาทับ อำเภอจะนะ เป็นต้น ภูเขาที่สำคัญได้แก่ เขาตังกวน เป็นภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๒๐๐ เมตร บนเขามีพระเจดีย์หลวง ที่รัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ขึ้น มีเก๋งจีนและประภาคาร เขาน้อย อยู่ติดกับเขาตังกวน มีถนนตัดผ่านลงสู่ชายหาด ตรงเชิงเขามีพระตำหนักเขาน้อย สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๔ เพื่อเป็นที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนลพบุรีราเมศวร์ เมื่อครั้งมาดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล มณฑลนครศรีธรรมราช อุปราชมณฑลปักษ์ใต้ น้ำตกที่สำคัญได้แก่ น้ำตกโตนงาช้าง น้ำตกบริพัตร เป็นต้น ถ้ำที่สำคัญ ได้แก่ ถ้ำต่าง ๆ ในอำเภอสะบ้าย้อยและสะเดา เช่น ถ้ำตลอด ถ้ำเพิง ถ้ำเขารูปช้าง เป็นต้น เกาะที่สำคัญ ได้แก่ เกาะยอ เกาะหนู เกาะแมว เป็นต้น

          จังหวัดสงขลา มีโครงการระยะยาวที่สำคัญโครงการหนึ่ง คือ การจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของลุ่มทะเลสาบสงขลาที่เปลี่ยนแปลงและเสื่อมโทรมลงจากอดีตเป็นอย่างมาก แผนแม่บทนี้ครอบคลุม ๕ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การใช้ประโยชน์ทรัพยากรลุ่มน้ำแบบบูรณาการและใช้อย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การควบคุมและป้องกันมลพิษ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การอนุรักษ์ ฟื้นฟู บูรณะ ศิลปวัฒนธรรม แหล่งประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภูมิปัญญาท้องถิ่น แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน

แผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ภายในระยะเวลา ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๘) มีการวางเป้าหมายไว้ว่าจะต้องเห็นผล ๗ ประการ คือ

๑. มีสถาบันพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ศูนย์ประสานงานบริหารงานวิจัยและเครือข่ายของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ได้รับการจัดตั้งขึ้นมา
๒. มีการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาให้อยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาล ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันได้ว่าเป็นการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพโปร่งใสและเป็นธรรม
๓. ชุมชนมีความพอใจในคุณภาพชีวิต ซึ่งรวมถึงสถานะภาพทางเศรษฐกิจ ในสภาพสังคมและในสภาพระบบนิเวศ โดยดัชนีชี้วัด ๓ มิติ มีแนวโน้มดีขึ้นแบบสมดุล
๔. เพิ่มและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของป่าให้ได้อย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ของพื้นที่ลุ่มน้ำ
๕. เครื่องมือทำประมงจำพวกไซนั่งและโพงพางจะต้องลดลงอย่างน้อยร้อยละ ๓๐ ทำให้ผลการจับสัตว์น้ำต่อหน่วยเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของทรัพยากรประมง
๖. อุทยานประวัติศาสตร์เมืองเก่าสงขลา และเมืองเก่าพัทลุง สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมได้รับการฟื้นฟูดูแลรักษาให้มีคุณภาพที่ดี และเหมาะสมยิ่งขึ้น และมีกลุ่มอาศรมวิทยาลัยและพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ของชาวบ้านเกิดขึ้นอย่างน้อย ๒๒ แห่ง
๗. คุณภาพน้ำในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาไม่ต่ำกว่าประเภทที่ ๓ ตามมาตรฐานคุณภาพน้ำแหล่งน้ำผิวดิน

จังหวัดสงขลามีคำขวัญว่า  นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานป๋า ศูนย์การค้าแดนใต้  


ชื่อคำ : สงขลา, จังหวัด
หมวดหมู่หลัก : โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และการเมืองการปกครอง
หมวดหมู่ย่อย : ประวัติสถานที่ สิ่งของ และเครื่องมือเครื่องใช้
ชื่อผู้แต่ง : สงบ ส่งเมือง, ชาญณรงค์ เที่ยงธรรม, ทีปวิท พงศ์ไพบูลย์