สงฆ์ จันทสโร, หลวงพ่อ
หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร เป็นพระศักดิ์สิทธิ์รูปหนึ่งของจังหวัดชุมพร หลวงพ่อเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีศีลจริยวัตรงดงามเป็นที่เลื่องลือ ความเมตตาของหลวงพ่อสงฆ์เป็นที่ประจักษ์ของผู้พบเห็น ท่านสงเคราะห์ทั้งมนุษย์และสัตว์ด้วยเมตตาธรรม ประกอบกับท่านมีวาจาสิทธิ์ คำพูดที่ท่านพูดออกมาจะบังเกิดผลอย่างอัศจรรย์ ทำให้ชาวบ้านทั้งใกล้และไกลให้ความเคารพศรัทธาท่านเสมือนเทพเจ้าของชาวชุมพร
หลวงพ่อมีชื่อเดิมว่า สง ถือกำเนิดที่บ้านหนองหลวง ตำบลวิสัยใต้ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เมื่อวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีฉลู ร.ศ.๑๐๗ ตรงกับวันอังคารที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๒ โยมบิดามารดามีอาชีพทำนา
นายสง เป็นกำพร้าตั้งแต่วัยเด็กอายุ ๑๕ ปี จึงได้ไปอาศัยอยู่กับน้าชายช่วยประกอบการทำไร่ทำนาอยู่ได้ประมาณ ๑ ปี จึงได้ปรารภกับน้าชายว่าต้องการบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อศึกษาเล่าเรียนอักขระสมัย รวมทั้งวิชาความรู้ต่าง ๆ โดยได้บรรพชากับพระอาจารย์นุชซึ่งมีศักดิ์เป็นลุง บวชเป็นสามเณรอยู่ ๓ ปี ก็ได้ลาสิกขาและเดินทางเข้ากรุงเทพฯ กับพระอาจารย์
พออายุครบ ๒๐ ปี ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดโขยงนอก อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๒ โดยมีพระครูธรรมลังกาวี (ฮวบ) เป็นพระอุปัชฌาย์ได้รับฉายาว่า “จันทสโร” จากนั้นได้กลับมาจำพรรษาที่วัดควร (วัดทึงทั่ง) ตำบลวิสัย อันเป็นถิ่นกำเนิดของท่าน
หลังจากที่ท่านอุปสมบทครบ ๑ พรรษาแล้ว ท่านจึงตัดสินใจออกเดินทางแสวงหาครูบา-อาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญด้านกัมมัฏฐาน ได้ออกเดินทางเรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งถึงเกาะภูเก็ต ได้พบกับ “หลวงพ่อรอด” เจ้าอาวาสวัดโต๊ะแซ่ จึงได้เข้าฝากตัวขอศึกษาเล่าเรียนทางด้านกัมมัฏฐานและได้พำนักอยู่ที่วัดนี้ ท่านได้ตั้งใจศึกษาพระกัมมัฏฐานอย่างจริงจัง หลวงพ่อรอดได้สอนให้ท่านเจริญบำเพ็ญภาวนา ให้กำหนดอารมณ์เป็นหนึ่งน้อมรำลึกคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ แล้วก็บริกรรมภาวนาเป็นลำดับ และมีการเดินจงกรมอย่างสม่ำเสมอจนมีความเชี่ยวชาญและรับคำชมเชยจากหลวงพ่อรอด
ท่านศึกษาปฏิบัติอยู่ได้ ๓ พรรษา จึงได้ลาหลวงพ่อรอดออกธุดงค์เพื่อแสวงหาอาจารย์ต่อไป เมื่อเดินทางมาถึงบ้านท่าข้าม จังหวัดสุราษฎร์ธานีก็ได้พบกับพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า “หลวงพ่อเวียน” จึงได้เข้ามอบตัวเป็นศิษย์ และปฏิบัติพระกัมมัฏฐานอยู่กับพระอาจารย์ได้ ๓ วัน พระอาจารย์ก็ปลีกตัวไปธุระโดยไม่บอกจุดหมายปลายทาง หลวงพ่อสงฆ์คอยอยู่เป็นเวลา ๑ เดือนท่านจึงออกเดินทางธุดงค์ต่อไป จึงได้เดินทางขึ้นเหนือมาทางเมืองชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี จนถึงจังหวัดสระบุรีได้สักการะรอยพระพุทธบาท แล้วย้อนกลับมากรุงเทพฯ เข้านมัสการพระแก้วมรกต แล้วจึงขึ้นเรือสำเภากลับชุมพร
ท่านตั้งใจจะธุดงค์ไปแถบถิ่นเดิมที่ตำบลวิสัยใต้เพื่อเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง เมื่อมาถึงบ้านปลายคลองน้อย อำเภอสวี ก็ได้ปักกลดโปรดชาวบ้านอยู่ ๗ วัน จึงเดินทางต่อไปยังบ้านเขาปีบ ก็ได้พบกับหลวงพ่อเวียน พระอาจารย์ของท่านนั่นเอง หลังจากที่ได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง ทั้งพระอาจารย์และศิษย์จึงได้อยู่ปฏิบัติธรรมพระกัมมัฏฐานร่วมกัน ณ บ้านเขาปีบ
หลังจากนั้นท่านก็ได้ออกเดินทางไปจำพรรษาที่ถ้ำโพงพาง (ปัจจุบันเป็นวัดตั้งอยู่ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร) อยู่ ๒ พรรษา ที่วัดควน ตำบลวิสัยใต้ อีก ๑ พรรษา ต่อมาหลวงพ่อเวียนได้มรณภาพลง เมื่อทำบุญศพหลวงพ่อเวียนเสร็จแล้ว ท่านก็ไปจำพรรษาที่วัดหัวกรูด ๑ พรรษา แล้วมาประจำอยู่ที่วัดสามแก้ว อำเภอเมืองชุมพร อีก ๑ พรรษา
ในพรรษาที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๔๖๒ หลวงพ่อสงฆ์มีอายุ ๓๐ ปี ได้ธุดงค์เข้าสู่บ้านศาลาลอยเป็นครั้งแรก ท่านได้ปักกลดอยู่ใกล้หนองน้ำ กำนันเฉยได้นิมนต์ให้ท่านไปอยู่ ณ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ซึ่งเป็นวัดร้าง โดยทำกุฏิหลังเล็ก ๆ ให้ท่านพำนัก
ขณะที่ท่านบำเพ็ญกิจภาวนาสมาธิอยู่นั้น ท่านได้พบ “พ่อปู่เจ้าฟ้า” เจ้าที่เจ้าทางที่รักษาที่ทางบริเวณวัด หลวงพ่อจึงได้ขอพำนักอยู่ที่วัดนี้ พ่อปู่เจ้าฟ้าอนุญาตให้อยู่แต่ไม่ให้รับเป็นเจ้าอาวาส ด้วยเหตุนี้สมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยจึงไม่มีเจ้าอาวาส
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหลวงพ่อสงฆ์ก็ได้ดำเนินงานบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุภายในวัดขึ้นใหม่ทั้งหมด พร้อมกับตั้งชื่อวัดว่า “วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย”
หลวงพ่อท่านเป็นพระถือสันโดษฉันภัตตาหารเพียงวันละมื้อเดียวและไม่ยอมรับปัจจัยใด ๆ เป็นส่วนตัว เมื่อมีผู้มานมัสการนำของมาถวายท่าน ท่านก็มอบให้กับภิกษุรูปอื่น แม้กระทั่งตำแหน่งเจ้าอาวาสท่านก็ไม่ยอมรับ เพียงเป็นประธานสงฆ์ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแก่พระสงฆ์ สามเณร และญาติโยมเท่านั้น ของวิเศษที่เลื่องลือของท่านได้แก่ ยาเส้น ที่ท่านชอบใช้สีฟัน อมไว้และเสกจนเป็นของขลังที่ใครไปวัดแล้วจะต้องขอยาเส้นของท่านนำไปติดตัวบูชา นอกจากนี้ท่านก็ยังมี น้ำปลา ชาวบ้านถือว่าเป็นยาวิเศษ สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะโรคผิวหนัง แผลเน่าเปื่อย
หลวงพ่อสงฆ์จำพรรษาอยู่ ณ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๒ มาจนกระทั่งถึงวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ท่านก็ได้มรณภาพลงอย่างสงบ รวมสิริอายุได้ ๙๔ ปี ๓ เดือน ๒ วัน พรรษาที่ ๗๔ และ จำพรรษาอยู่ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยเป็นเวลา ๖๔ ปี ปัจจุบันสรีระของท่านบรรจุอยู่ในโลงแก้วไม่เปื่อยไม่เน่า ประดิษฐานอยู่บนศาลาธรรมสังเวช เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบสักการบูชาตลอดไป