ไทรบุรี (ปะแงรัน), เจ้าพระยา

        เจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) เป็นสุลต่านผู้ครองเมืองไทรบุรีเป็นลำดับที่ ๒๑ ของวงศ์ผู้ครองเมืองนั้น ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งใน พ.ศ. ๒๓๔๐ สืบต่อจากสุลต่านดิยาอุดดิน มีพระนามเต็มว่าสุลต่าน อาหมัด ตาจุดิน (Sultan Ahmad Tajuddin) จากหลักฐานเท่าที่ปรากฏ สุลต่านอาหมัดตาจุดิน เป็นเจ้าประเทศราชมลายูองค์แรกที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นเจ้าพระยาของไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ความดีความชอบที่สุลต่านอาหมัดตาจุดิน หรือปะแงรัน ได้รับในครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า น่าจะเนื่องมาจากได้ยกทัพมาช่วยไทยรบพม่าชิงเมืองถลางคืนได้ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๕๔ และต่อมาก็สามารถยกทัพไปตีเอาเมืองเประมาเป็นประเทศราชของไทยได้อีก (ดู คำอธิบาย” จดหมายหลวงอุดมสมบัติอย่างไรก็ดีนับตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๖๐ เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและหัวเมืองมลายูประเทศราชในขณะนั้น (อันได้แก่ ไทรบุรี ปัตตานี กลันตัน และตรังกานู) ได้ทวีความตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ขั้นวิกฤตระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๐-๒๓๘๒ โดยมีเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) เป็นจุดรวมของการต่อต้านไทยในดินแดนดังกล่าว

        ไทรบุรีเป็นหัวเมืองประเทศราชที่ไทยถือว่าเป็นของไทยมาแต่โบราณ ชื่อของผู้ครองเมืองต้นวงศ์ตระกูลของไทรบุรีก็บ่งบอกเชื้อสายความสัมพันธ์กับไทย ที่ร่วมวัฒนธรรมอิทธิพลฮินดู-พุทธ อย่างไรก็ดี เมืองมะละกา เริ่มมีอำนาจในพุทธศตวรรษที่ ๒๐ และผู้นำมะละกาได้หันไปนับถือศาสนาอิสลาม ผู้นำของไทรบุรีก็ได้หันไปเป็นมิตรกับมะละกา และเจ้าเมืองไทรบุรีนับตั้งแต่องค์ที่ ๗ ลงมาก็เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม (ดู พงศาวดารเมืองไทรบุรีถึงสมัยรัตนโกสินทร์ สงครามระหว่างไทยกับพม่าก็เริ่มขึ้นและขยายขอบเขตลงมายังคาบสมุทรมลายูทำให้ไทรบุรีเริ่มหันไปใช้นโยบายอิงมหาอำนาจหนึ่งเพื่อคานกำลังอีกมหาอำนาจหนึ่ง ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ สุลต่านอับดุลลาโมกุรัมซะ (Sultan Abdullah Mukarram Shah) ผู้เป็นบิดาของพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ได้เสนอให้บริษัทอินเดียของอังกฤษเข้าปีนังเพื่อแลกกับความเป็นพันธมิตร ต่อต้านไทยและพม่า แต่เมื่อสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงยกทัพลงไปที่สงขลาสุลต่านอับดุลลาห์ก็รีบจัดทัพมาสวามิภักดิ์กับไทย หลังจากสุลต่านอับดุลลาห์ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ. ๒๓๔๓ ตนกูดิยาอุดดิน (Diyaud-din) น้องต่างมารดาสุลต่านอับดุลลาห์ก็ได้ขึ้นครองตำแหน่งแทน อย่างไรก็ดีสุลต่านอับดุลลาห์ยังมีบุตรอีกหลายคนที่สำคัญคือ ตนกูปะแงรัน ตนกูปัศนุ และตนกูอิบราฮิม ซึ่งล้วนถือว่าตนมีสิทธิ์ในตำแหน่งเจ้าเมืองต่อจากบิดาทั้งสิ้น ต่างก็พยายามแสวงหากำลังสนับสนุนจากไทยเฮนรี่ เบอร์นี่ ได้ให้หลักฐานไว้ว่าระหว่าง พ.ศ. ๒๓๔๔-๒๓๔๕ ตนกูปะแงรันได้เข้ามาพบพระยาสงขลา และพระยาสงขลาได้นำตนกูปะแงรันเข้าเฝ้ารัชกาลที่ ๑ ในขณะที่เจ้าพระยานครสนับสนุนตนกูปัศนุ ท้ายที่สุดรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ส่งกำลังมาปลดสุลต่านดิยาอุดดินออก แล้วตั้งตนกูปะแงรันขึ้นดำรงตำแหน่งพระยาไทรบุรีแทน ส่วนตนกูอิบราฮิม ได้ปกครองบริเวณลุ่มน้ำมุดาและตนกูปัศนุได้ครองเมืองสตูล การขึ้นดำรงตำแหน่งของตนกูปะแงรันในครั้งนี้ นักประวัติศาสตร์หลายคนถือว่าเป็นครั้งแรกที่ราชสำนักไทยที่กรุงเทพฯ เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับการเมืองไทรบุรี โดยการแต่งตั้งเจ้าเมืองโดยตรงถือได้ว่าตนกูปะแงรันเป็นพระยาไทรบุรีคนแรกที่ยอมรับในอธิปไตยของไทยเหนือไทรบุรีอย่างสมบูรณ์ และยังได้เพิ่มมูลค่าต้นไม้เงินทอง เครื่องราชบรรณการที่ส่งมาถวายราชสำนักไทยเป็น ๒เท่า อีกด้วย (R. Bonney, Kedah 1771-1821 หน้า ๑๑๑-๑๑๒) อนึ่ง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงสันนิษฐานว่าการที่เมืองนครฯ สนับสนุนตนกูปัศนุในครั้งนั้นทำให้เมืองไทรบุรีเอาใจออกห่างจากไทย ความบาดหมางใจระหว่างเมืองนครฯ กับเมืองไทรบุรีได้ขยายวงกว้างและซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อเจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ขึ้นเป็นผู้ว่าเมืองนครฯ แทนเจ้าพระยานครพัฒน์ (พัฒน์) หลัง พ.ศ. ๒๓๕๔ เป็นต้นไป

        เมื่อเริ่มรัชกาลพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๕๓-๒๓๕๔ พม่าได้ยกทัพมาเกาะถลาง เมื่อพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) เผชิญหน้ากับกำลังทัพที่เหนือกว่าและภายหลังจากที่ได้รับการปฏิเสธความช่วยเหลือจากอังกฤษ พระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ก็เลือกที่จะส่งบรรณาการให้พม่า แต่ต่อมาเมื่อเห็นว่าไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบ พระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ก็เปลี่ยนใจส่ง “กองเรือเป็นจำนวนมาก.....รวมทั้งอาหารและปัจจัยอื่น ๆ มาช่วยไทยตีเกาะถลาง (Bonney, หน้า ๑๒๒) เป็นเหตุให้ไทยยึดถลางคืนได้ อย่างไรก็ดี ความดีความชอบดังกล่าวแม้จะทำให้พระยาไทรบุรีได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าพระยา (ไม่ปรากฏปีแน่นอน) แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้เจ้าพระยาไทรบุรีรอดพ้นคำกล่าวหาของตนกูปัศนุที่ว่าได้ให้ความร่วมมือกับพม่ามาแต่เดิม ไทรบุรีจึงถูกเรียกค่าปรับไหมอย่างสูง และถูกสั่งให้ยกทัพไปผนวกเประมาเป็นของไทยใน พ.ศ. ๒๓๕๙ ซึ่งคำสั่งหลังนี้พระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) มองว่าเป็นแผนการที่เสนอโดยพระยานคร (น้อย) ซึ่งได้ก้าวขึ้นเป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในเมืองนครฯ และบังคับบัญชาหัวเมืองมลายูต่าง ๆ ของไทยอย่างกว้างขวาง ภายหลังเจ้าพระยานคร (พัฒน์) ถึงแก่กรรมใน พ.ศ. ๒๓๕๗ (Bonney หน้า ๑๕๙, Burney Papers, Vol II, หน้า ๑๒๒)

        ในปลายรัชกาลที่ ๒ พ.ศ.๒๓๖๔ พม่ายกทัพมาตีไทยอีกครั้ง คราวนี้ทางกรุงเทพฯ ได้ข่าวว่าเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) เอาใจออกห่าง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพไปคุมเชิงกำลังเมืองไทรบุรีอยู่ที่นครศรีธรรมราช สงขลาและสตูล เมื่อพม่าถอนกำลังออกไป ตนกูหม่อม น้องเจ้าพระยาไทรบุรีก็ได้ยื่นฟ้องว่าเจ้าพระยาไทรบุรีลอบมีหนังสือไปติดต่อกับพม่า ขณะเดียวกันทางไทยก็จับหนังสือที่พม่าลอบมีถึงเจ้าพระยาไทรบุรีได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยานคร (น้อย) ยกทัพไปตีเมืองไทรบุรี พระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) สู้ไม่ได้ต้องทิ้งเมืองและหนีไปลี้ภัยอยู่กับอังกฤษที่เกาะหมาก ส่วนเมืองไทรบุรี โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุตรเจ้าพระยานคร (น้อย) คือ พระภักดีบริรักษ์ (แสง) เป็นผู้รักษาเมือง อยู่ใต้ปกครองของเมืองนครฯ ต่อมา

        การที่ไทยเข้าปกครองเมืองไทรบุรีโดยตรง นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๖๔ ได้เป็นสาเหตุแห่งความยุ่งยากวุ่นวายในหัวเมืองมลายูของไทยที่ยืดเยื้อนับแต่นั้นมาอีกเกือบ ๒๐ ปี ทั้งนี้เพราะลูกหลานเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) พยายามดิ้นรนหาทางให้เจ้านายเก่าได้กลับมาครองเมืองอย่างไม่ลดละ ขณะเดียวกันผลประโยชน์ของเมืองไทรบุรีในฐานะแห่งเศรษฐกิจที่สำคัญอุดมด้วย ข้าว ไม้ และดีบุก ก็ทำให้เมืองนครฯ ไม่อาจปล่อยให้หลุดไปจากอำนาจได้ ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเจ้าพระยานคร (น้อย) กับวังหน้า คือ กรมหมื่นศักดิพลเสพย์ ซึ่งทรงมีฐานะเป็นพระนัดดาของเจ้าพระยานคร (พัฒน์) ก็ทำให้เจ้าพระยานคร (น้อย) มีบทบาทอย่างมากในการตัดสินใจในประเด็นเกี่ยวกับเมืองไทรบุรีและหัวเมืองมลายูทางใต้ของไทยในราชสำนักที่กรุงเทพฯ เมื่อเบอร์นี่ เข้ามาเจรจาทางการทูตกับไทยระหว่าง พ.ศ.๒๓๖๘-๒๓๖๙ โดยมีเป้าหมายประการหนึ่ง คือขอให้เจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ซึ่งลี้ภัยอยู่ที่เกาะหมากได้กลับมาครองไทรบุรีดังเดิมนั้น เบอร์นี่พบว่ากลุ่มกำลังสำคัญที่ทัดทานเรื่องนี้มาจากวังหน้า ผู้ซึ่ง มีรายได้จากไทรบุรีรวมทั้งสิ้นประมาณ ๓๐,๐๐๐ เหรียญต่อปี (B.P. Vol I, หน้า ๕๐๐) เบอร์นี่ได้บันทึกว่าเจ้าพระยานครและพรรคพวกในราชสำนักพยายามให้เขายอมประนีประนอมในเรื่องไทรบุรีและ ทันทีที่ข้าพเจ้ายอมแพ้ในเรื่องไทรบุรี ข้าพเจ้าก็ได้เห็นว่าเป้าหมายอื่น ๆ ของข้าพเจ้าจะลุล่วงไปได้ (B.P. หน้า ๕๐๒) ด้วยเหตุนี้สนธิสัญญาเบอร์นี่ระหว่างไทยและอังกฤษในประเด็นเกี่ยวกับไทรบุรีจึงยุติลงด้วยการที่อังกฤษรับจะควบคุมตัวเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ไว้ที่มะละกา ไม่ให้มายุ่งกับไทรบุรีอีก

        อย่างไรก็ดี ความพยายามของลูกหลานเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ที่จะให้เจ้าพระยาไทรบุรีกลับมาครองเมืองดังเดิม เป็นเหตุให้เกิดสงครามขึ้นในหัวเมืองมลายูของไทยถึง ๒ ครั้ง ครั้งแรก ใน พ.ศ. ๒๓๗๕ ภายหลังภาวะฝนแล้งตามติดด้วยน้ำท่วม ตนกูเด่น หลานเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) สามารถรวบรวมชาวมลายูตามชายฝั่งยกกำลังเข้าโจมตีไทรบุรีได้และยึดอยู่ได้เกือบปี จากนั้นการต่อต้านไทยก็ได้ขยายต่อไปยังหัวเมืองปัตตานีทั้ง ๗ (ยกเว้นเมืองยะหริ่ง กลันตัน และตรังกานู ทางกรุงเทพฯ ต้องส่งเจ้าพระยาคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่ทัพใหญ่ยกทัพเรือลงมาสมทบกับทัพเมืองนครฯ จึงสามารถปราบปรามพวกต่อต้านได้ แต่ต่อมาอีก ๖ ปี ใน พ.ศ.๒๓๘๑ หลานอีกคนของเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ก็ได้ร่วมมือกับสลัดมลายู หวันมาลี ยกกำลังเข้าตีไทรบุรีได้ แล้วข้ามมายึดตรังได้และขยายกำลังเข้าล้อมเมืองสงขลาไว้ พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีพิพัฒน์ (ทัด บุนนาค ซึ่งต่อมาเป็นเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติในรัชกาลที่ ๔) เป็นแม่ทัพเรือยกลงมาช่วย ทัพจากนครฯ และพัทลุงสามารถตีหัวเมืองชายทะเลตะวันตกคืนได้ ในขณะเดียวกันทัพจากกรุงเทพฯ และสงขลาก็สามารถตีพวกต่อต้านแตกไปได้

        ความวุ่นวายในหัวเมืองมลายูทั้งหมดดังกล่าว ทำให้รัชกาลที่ ๓ ทรงตระหนักว่าสมควรแต่งตั้งชาวมลายูขึ้นครองเมืองไทรบุรีเองเพื่อเป็นการแก้ปัญหา ขณะเดียวกันก็ทรงดำริว่าความเป็นอริระหว่างสงขลาและนครฯ เป็นสาเหตุใหญ่ของความอ่อนแอของอำนาจไทยในหัวเมืองปักษ์ใต้ ระยะทางที่ห่างไกลทำให้กรุงเทพฯ ไม่อาจควบคุมดินแดนแถบนี้ได้โดยตรง ขณะเดียวกันหากจะควบคุมนครฯ มากไป ก็เกรงจะทำให้เมืองนครฯ เศร้าหมองแตกร้าว ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อกรุงเทพฯ เอง การแก้ปัญหาไทรบุรีและหัวเมืองมลายูยุติลงได้ภายหลังจากที่เจ้าพระยานคร (น้อย) ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ.๒๓๘๑ ในส่วนเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) นั้น ได้เรียนรู้ว่าการดิ้นรนที่ยืดเยื้อเป็นเวลาร่วม ๒๐ ปี โดยใช้นโยบายอิงมหาอำนาจหนึ่งเพื่อต่อต้านอีกมหาอำนาจหนึ่ง และการใช้กำลังเพื่อหลุดพ้นจากอธิปไตยของไทย ก่อให้เกิดหายนะทางชีวิตทรัพย์สินและเศรษฐกิจของไทรบุรีเองอย่างสูงเกินกว่าที่จะคงอยู่ต่อไปได้ ในปี พ.ศ.๒๓๘๔ เจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) จึงได้ส่งตนกูดาอี บุตรชายมาขอพระราชทานอภัยโทษ ฝ่ายไทยเองก็ตระหนักถึงความสูญเสียที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน รัชกาลที่ ๓ จึงพระราชทานอภัยโทษให้เจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) และบุตรหลานกลับมาครองเมืองไทรบุรี ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเป็น ๔ เมือง มีเมืองไทรบุรี ปลิศ (เปอร์ลิส) กะบังปาสู และสตูล ทุกเมืองให้เจ้าชาวมลายูปกครองเป็นอิสระต่อกัน พงศาวดารเมืองไทรบุรีระบุว่าเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ครองเมืองไทรบุรีอยู่ได้ ๒ ปีก็ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ.๒๓๘๖

        ถือได้ว่าการกลับมาคืนดีกับไทยของเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ใน พ.ศ.๒๓๘๔ ได้นำไปสู่ศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์ระหว่างไทรบุรีและไทย ที่มีพื้นฐานอยู่บนสันติภาพและความร่วมมือกัน นับจากนั้นมาตลอดรัชกาลที่ ๔ และที่ ๕ จนกระทั่งโอนไปขึ้นกับอังกฤษใน พ.ศ.๒๔๕๒ ไทรบุรียึดมั่นในความจงรักภักดีที่ประเทศราชที่ดีพึงมีกับไทย โดยตระหนักว่าไทยจะไม่เข้าแทรกแซงกิจการภายในเว้นไว้แต่จะเกิดปัญหาทางการเมืองภายใน บุตรหลานและเหลนของเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ซึ่งได้รับตำแหน่งสุลต่านครองเมืองไทรบุรีสืบทอดจากเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ซึ่งได้แก่พระยาไทรบุรี (ดาอี) เจ้าพระยาไทรบุรี (อาหมัด) และเจ้าพระยาไทรบุรี (อับดุลฮามิด) ต่างรับราชการสนองคุณพระมหากษัตริย์ไทยด้วยความสามารถและจงรักภักดี และอย่างใกล้ชิดสนิทสนมยิ่ง จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาอีกถึง ๒ ท่าน ในรัชกาลที่ ๕ นับว่าในช่วงปลายของชีวิตเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายความสัมพันธ์ของไทรบุรีที่มีกับไทยไปสู่ทิศทางใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ไทรบุรีในครึ่งศตวรรษสุดท้ายภายใต้การปกครองของไทยมีความสงบสุข สามารถพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าในกิจการภายในต่าง ๆ จนได้รับยกย่องว่าเป็นรัฐบาลมลายูที่ก้าวหน้า ที่สุดในยุคนั้น (พรรณงาม เง่าธรรมสาร)

ชื่อคำ : ไทรบุรี (ปะแงรัน), เจ้าพระยา
หมวดหมู่หลัก : โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และการเมืองการปกครอง
หมวดหมู่ย่อย : ประวัติบุคคล
ชื่อผู้แต่ง : พรรณงาม เง่าธรรมสาร
เล่มที่ : ๗
หน้าที่ : ๓๙๘๗