ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งแวดล้อมทั้งทางธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น อันมีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงและการดำรงชีพของมนุษย์ที่สืบเนื่องกันมาตามกาลเวลาและในพื้นที่ซึ่งแตกต่างกัน
ภาคใต้มีสภาพทางธรรมชาติแตกต่างไปจากภาคอื่น ๆ ของประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงความเป็นอยู่ของคนในภูมิภาคนี้ย่อมก่อให้เกิดวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากภาคอื่นด้วย ความ แตกต่างนี้มีผลมาจากการที่ชาวภาคใต้ได้มีปฏิสัมพันธ์ (inter action) กับสิ่งแวดล้อมในภาคใต้ในด้านต่าง ๆ คือ
ทำเลที่ตั้ง ภาคใต้เหนือสุดอยู่ที่อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร อยู่ที่ประมาณละติจูด ๑๑ องศา ๔๒ ลิปดาเหนือ และใต้สุดที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา อยู่ประมาณละติจูด ๕ องศา ๓๗ ลิปดาเหนือ ทางด้านตะวันออกสุดที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส อยู่ประมาณลองจิจูด ๑๐๒ องศา ๕ ลิปดาตะวันออก และตะวันตกสุดที่อำเภอท้ายเหมืองจังหวัดพังงา ลองจิจูดที่ ๙๘ องศา ๖ ลิปดาตะวันออก มีทะเลซึ่งเป็นอ่าวไทยอยู่ทางด้านตะวันออกและทะเลอันดามัน อยู่ทางด้านตะวันตก สภาพที่ตั้งภาคใต้จึงอยู่ในแถบศูนย์สูตรอันมีผลให้มีช่วงเวลากลางวันกลางคืนเท่ากันตลอดปี หรืออีกนัยหนึ่งคือระยะเวลาที่รับแสงอาทิตย์มีเกือบเท่า ๆ กันตลอดทั้งปี ทำให้อุณหภูมิในภูมิภาคนี้ไม่ค่อยแตกต่างกัน ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในระหว่างฤดูต่าง ๆ จึงไม่เด่นชัด นอกจากนั้นพื้นที่ในภาคใต้ทั้งหมดจะมีโอกาสเห็นดวงอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะในตอนเที่ยงวันถึงปีละ ๒ ครั้ง คือในช่วงเดือนเมษายนครั้งหนึ่ง และในปลายเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายนอีกช่วงหนึ่ง (ดูตารางประกอบ)
จากสภาพทำเลที่ตั้งดังกล่าวทำให้ในภาคใต้นิยมคาดคะเนเวลาด้วยความสูงของดวงอาทิตย์จากขอบฟ้า โดยแบ่งท้องฟ้าออกเป็น ๑๒ ชั่วโมง ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา ๖ โมงเช้าและตกเวลา ๖ โมงเย็น อยู่ตรงศีรษะเวลาเที่ยงวัน หรือสังเกตความยาวของเงาต้นไม้หรือวัตถุก็พอที่จะบอกเวลาได้ นอกจากนั้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของดวงอาทิตย์มีไม่มากนัก การสร้างบ้านจึงจำเป็นต้องพิถีพิถันในการหันทิศทาง เพราะตำแหน่งที่แสงแดดส่องอยู่ทางทิศตะวันออกและตะวันตกตลอดทั้งปี ส่วนลักษณะที่ดวงอาทิตย์เบนไปทางเหนือและทางใต้มีบ้างแต่ไม่มีผลมากนักโบราณจึงห้ามปลูกบ้านขวางตะวันเพราะจะทำให้แดดส่องเต็มทั้งวัน แต่มีคติให้ปลูกตามตะวันซึ่งเรียกว่า “ลอยหวัน”
ภูมิประเทศ ลักษณะพื้นที่ในภาคใต้ประกอบด้วยชายฝั่งทะเล ภูเขา และที่ราบแคบตามเชิงเขาและชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ฝั่งทะเลยาวตั้งแต่ชุมพรไปจดปัตตานี นราธิวาส เป็นชายฝั่งที่เป็นหาดทรายเป็นส่วนมากมีชายฝั่งโคลนเลนบางตอนเท่านั้น แนวหาดทรายยาวตั้งแต่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จนไปถึงสงขลา บริเวณที่ปากแม่น้ำใหญ่ ๆ เช่น ปากแม่น้ำตาปี ปากพนัง ฯลฯ มีโคลนตมที่แม่น้ำพัดพามาทับถมชายฝั่ง ชายฝั่งด้านตะวันออกของภาคใต้มีลักษณะเป็นชายฝั่งที่งอกยื่นออกไป เช่น บริเวณอำเภอระโนด อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เดิมทีเป็นสันทราย ลักษณะของเกาะยาวขนานกับชายฝั่งภายหลังท้องทะเลระหว่างชายฝั่งกับเกาะได้ตื้นเขินจนมีลักษณะเป็นผืนแผ่นดินเชื่อมติดกับเกาะทำให้ชายฝั่งงอกยื่นออกไป ด้านตะวันออกมีเกาะสมุยเป็นเกาะขนาดใหญ่ รองลงมาเป็นเกาะพะงัน นอกนั้นยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยอีกหลายเกาะ สำหรับเกาะสมุยนั้นปัจจุบันนับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ส่วนชายฝั่งด้านตะวันตกลักษณะส่วนใหญ่เป็นชายฝั่งยุบจม ลักษณะเป็นโคลน มีป่าโกงกาง เกาะภูเก็ตซึ่งเป็นเกาะใหญ่ และสำคัญทางด้านนี้พบว่าเพิ่งจะยุบจมขาดออกจากชายฝั่งด้านนี้กลายเป็นเกาะ นอกจากเกาะภูเก็ตแล้วยังมีเกาะลันตาซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่อีกเกาะหนึ่ง นอกนั้นแล้วยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยอีกมากในบริเวณนี้ โดยเฉพาะในอ่าวพังงามีเกาะเล็ก ๆ อีกมากมาย ลักษณะคล้ายกองฟางวางระเกะระกะอยู่เต็มอ่าว เกาะเหล่านี้ล้วนเป็นเกาะหินปูนมีความสวยงามใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ชายฝั่งด้านนี้มีหาด ทรายไม่มากนัก สำหรับเกาะภูเก็ตซึ่งเป็นเกาะใหญ่ที่สุดได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ นอกจากนั้นยังมี ลานแร่ตามริมฝั่งโดยเฉพาะในจังหวัดพังงา
วันที่แสงแดดตรงศีรษะตอนเที่ยงวัน ณ จังหวัดในภาคใต้
จังหวัด |
ละติจูด |
ตรงศีรษะ ๑ |
ตรงศีรษะ ๒ |
ชุมพร |
๑๐ ๒๗ น. |
๑๘ เมษายน |
๒๗ สิงหาคม |
ระนอง |
๐๙ ๕๘ น. |
๑๗ เมษายน |
๒๘ สิงหาคม |
สุราษฎร์ธานี |
๐๙ ๐๗ น. |
๑๔ เมษายน |
๓๑ สิงหาคม |
พังงา |
๐๘ ๓๐ น. |
๑๒ เมษายน |
๑ กันยายน |
นครศรีธรรมราช |
๐๘ ๒๕ น. |
๑๒ เมษายน |
๑ กันยายน |
กระบี่ |
๐๘ ๐๐ น. |
๑๑ เมษายน |
๓ กันยายน |
ภูเก็ต |
๐๗ ๕๘ น. |
๑๑ เมษายน |
๓ กันยายน |
พัทลุง |
๐๗ ๒๕ น. |
๑๐ เมษายน |
๔ กันยายน |
ตรัง |
๐๗ ๓๐ น. |
๑๐ เมษายน |
๔ กันยายน |
สงขลา |
๐๗ ๑๑ น. |
๙ เมษายน |
๕ กันยายน |
ปัตตานี |
๐๖ ๔๗ น. |
๘ เมษายน |
๗ กันยายน |
สตูล |
๐๖ ๓๔ น. |
๘ เมษายน |
๗ กันยายน |
ยะลา |
๐๖ ๒๘ น. |
๗ เมษายน |
๘ กันยายน |
นราธิวาส |
๐๖ ๒๖ น. |
๗ เมษายน |
๘ กันยายน |
ตามชายฝั่งมีบางแห่งพื้นที่มีน้ำขังประกอบด้วยวัชพืชขึ้นหนาแน่น พื้นที่น้ำขังเหล่านี้อาจเกิดจากการเกิดสันทรายปิดกั้นทะเลไว้ หรืออาจเกิดจากการยุบจมของหินปูน บริเวณที่ขังเหล่านี้เรียกว่า “พรุ” พื้นที่พรุหลายแห่งในภาคใต้อาจนำมาทำประโยชน์ได้ พระบาทสมเด็จฯ พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีโครงการปรับปรุงพรุบาเจาะที่จังหวัดนราธิวาส โดยการปรับปรุงระบบระบายน้ำให้พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นประโยชน์ต่อการเพาะปลูกได้
ที่ราบแคบ ๆ ตามเชิงเขาในภาคใต้ไม่มีที่ราบกว้างใหญ่เช่นภาคอื่น ๆ ส่วนมากจะเป็นที่ราบแคบ ๆ อยู่ตามเชิงเขา มีแม่น้ำสายสั้น ๆ ไหลผ่าน บริเวณที่ราบภายในที่สำคัญคือแนวที่ราบตั้งแต่ อ่าวบ้านดอนไปจดพังงาและกระบี่เป็นบริเวณที่ราบซึ่งขนาบด้วยเทือกเขาภูเก็ตซึ่งอยู่ค่อนไปทางเหนือและเทือกเขานครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของอ่าวบ้านดอน พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ใน ลุ่มแม่น้ำตาปี นอกจากนั้นยังมีที่ราบเชิงเขาแคบ ๆ ในลุ่มแม่น้ำตรังและลุ่มแม่น้ำปัตตานี เป็นต้น ตามบริเวณที่ราบเหล่านี้เป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญของภาคใต้ ที่ราบเชิงเขามีลักษณะเป็นที่ราบลูกฟูก มีที่สูงเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ ซึ่งเรียกกันตามท้องถิ่นภาคใต้ว่า “ควน” เป็นที่สูงไม่มากนัก มีการระบายน้ำดี จึงเป็นที่ตั้งของชุมชนใหญ่ ๆ หลายแห่งในภาคใต้มีชื่อควนนำหน้า หลายชุมชนได้พัฒนาขึ้นเป็น ระดับอำเภอ ที่ควนเหมาะสำหรับทำสวนทำไร่เพราะน้ำไม่ท่วม ส่วนบริเวณที่ราบถ้ามีน้ำท่วมขัง ในบางฤดูจะเป็นที่ทำนา ชุมชนหลายแห่งตั้งแต่ระดับอำเภอลงไปจะมีชื่อ “นา” เกี่ยวข้องอยู่ เช่น นาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช นาทวี จังหวัดสงขลา เป็นต้น ที่ราบซึ่งเป็นนาส่วนใหญ่เป็นที่ราบ ดินตะกอนจากลำน้ำ ส่วนที่ราบอีกแบบหนึ่งเป็นที่ราบซึ่งเกิดจากการสึกกร่อนหรือเกิดจากการตื้นเขินของทะเลเดิม ความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างมีน้อย เรียกกันว่า “ทุ่ง” พื้นที่ทุ่งซึ่งเป็นชุมชนขนาดอำเภอ มีอยู่หลายแห่ง เช่น ทุ่งสง ทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น
ที่ภูเขาภาคใต้มีบริเวณซึ่งเป็นเทือกเขาที่สำคัญอยู่ ๓ แนวด้วยกันคือ แนวเทือกเขาภูเก็ต แนวเทือกเขานครศรีธรรมราช และแนวเทือกเขาสันกาลาคีรี
ตารางแสดงค่าเฉลี่ยอุณหภูมิเดือนต่าง ๆ
จังหวัด |
ม.ค. |
ก.พ. |
มี.ค. |
เม.ย. |
พ.ค. |
มิ.ย. |
ก.ค. |
ส.ค. |
ก.ย. |
ต.ค. |
พ.ย. |
ธ.ค |
ชุมพร |
๒๕.๐ |
๒๖.๑ |
๒๗.๒ |
๒๘.๕ |
๒๘.๒ |
๒๗.๖ |
๒๗.๒ |
๒๗.๒ |
๒๗.๑ |
๒๖.๗ |
๒๕.๙ |
๒๔.๗ |
ระนอง |
๒๓.๑ |
๒๖.๘ |
๒๗.๘ |
๒๘.๔ |
๒๗.๕ |
๒๖.๖ |
๒๖.๔ |
๒๖.๓ |
๒๖.๐ |
๒๖.๑ |
๒๕.๗ |
๒๕.๓ |
สุราษฎร์ธานี |
๒๕.๙ |
๒๖.๘ |
๒๘.๑ |
๒๙.๐ |
๒๘.๗ |
๒๘.๑ |
๒๗.๗ |
๒๗.๘ |
๒๗.๖ |
๒๘.๑ |
๒๖.๓ |
๒๕.๖ |
พังงา* |
๒๕.๘ |
๒๖.๙ |
๒๗.๗ |
๒๗.๕ |
๒๗.๕ |
๒๘.๑ |
๒๖.๘ |
๒๗.๑ |
๒๗.๐ |
๒๖.๓ |
๒๖.๕ |
๒๖.๓ |
นครศรีธรรมราช |
๒๖.๐ |
๒๖.๕ |
๒๗.๔ |
๒๘.๒ |
๒๘.๕ |
๒๘.๔ |
๒๗.๙ |
๒๗.๙ |
๒๗.๗ |
๒๗.๑ |
๒๖.๓ |
๒๕.๗ |
กระบี่ |
ไม่มีข้อมูล |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ภูเก็ต |
๒๖.๓ |
๒๗.๒ |
๒๗.๘ |
๒๘.๓ |
๒๗.๘ |
๒๗.๗ |
๒๗.๔ |
๒๗.๔ |
๒๖.๙ |
๒๖.๘ |
๒๖.๕ |
๒๖.๓ |
พัทลุง |
ไม่มีข้อมูล |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ตรัง |
๒๔.๙ |
๒๘.๐ |
๒๘.๘ |
๒๘.๙ |
๒๘.๒ |
๒๗.๖ |
๒๗.๒ |
๒๗.๒ |
๒๗.๐ |
๒๗.๖ |
๒๖.๖ |
๒๖.๕ |
สงขลา |
๒๖.๙ |
๒๗.๓ |
๒๗.๙ |
๒๘.๖ |
๒๘.๙ |
๒๘.๖ |
๒๘.๔ |
๒๘.๔ |
๒๘.๑ |
๒๗.๖ |
๒๖.๘ |
๒๖.๕ |
ปัตตานี |
๒๕.๑ |
๒๕.๙ |
๒๖.๙ |
๒๗.๗ |
๒๘.๑ |
๒๗.๕ |
๒๗.๐ |
๒๖.๙ |
๒๖.๘ |
๒๖.๔ |
๒๖.๕ |
๒๖.๑ |
สตูล |
๒๗.๐ |
๒๘.๐ |
๒๘.๖ |
๒๗.๙ |
๒๗.๗ |
๒๘.๐ |
๒๖.๗ |
๒๗.๑ |
๒๖.๙ |
๒๖.๖ |
๒๖.๙ |
๒๗.๐ |
ยะลา |
ไม่มีข้อมูล |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
นราธิวาส |
๒๖.๐ |
๒๖.๔ |
๒๗.๐ |
๒๗.๗ |
๒๗.๙ |
๒๗.๗ |
๒๗.๓ |
๒๗.๑ |
๒๗.๒ |
๒๖.๘ |
๒๖.๑ |
๒๕.๘ |
*สถานีวัดที่ตะกั่วป่า
ที่มา : กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงคมนาคม
จังหวัด |
ม.ค. |
ก.พ. |
มี.ค. |
เม.ย. |
พ.ค. |
มิ.ย. |
ก.ค. |
ส.ค. |
ก.ย. |
ต.ค. |
พ.ย. |
ธ.ค |
รวม |
ชุมพร |
๑๑๔.๑ |
๗๗.๓ |
๕๘.๙ |
๗๙.๓ |
๑๗๘.๔ |
๑๖๔.๒ |
๑๙๒.๘ |
๑๙๘.๕ |
๑๕๗.๕ |
๓๒๑.๑ |
๓๕๔.๖ |
๑๓๒.๖ |
๒๐๒๙.๓ |
ระนอง |
๒๖.๙ |
๑๔.๓ |
๔๒.๖ |
๑๔๔.๓ |
๔๘๘.๘ |
๗๔๙.๙ |
๖๙๙.๗ |
๗๙๔.๑ |
๗๑๓.๑ |
๓๙๘.๓ |
๑๕๘.๙ |
๔๔.๕ |
๔๒๗๕.๔ |
สุราษฎร์ธานี |
๖๔.๕ |
๑๑.๔ |
๒๐.๗ |
๕๗.๐ |
๑๖๙.๓ |
๑๔๓.๒ |
๑๕๒.๒ |
๑๔๔.๓ |
๑๘๑.๒ |
๒๖๐.๕ |
๓๔๐.๕ |
๑๖๕.๒ |
๑๗๑๐.๐ |
พังงา* |
๕๔.๓ |
๔๖.๗ |
๘๑.๗ |
๑๕๖.๖ |
๓๘๒.๗ |
๔๓๑.๕ |
๔๐๗.๙ |
๓๗๗.๓ |
๔๖๐.๑ |
๓๙๐.๑ |
๑๖๘.๒ |
๕๕.๐ |
๓๐๑๒.๑ |
นครศรีธรรมราช |
๒๐๑.๖ |
๕๐.๙ |
๔๓.๙ |
๙๕.๑ |
๑๖๓.๐ |
๘๔.๘ |
๑๑๒.๔ |
๑๐๕.๓ |
๑๕๒.๗ |
๓๔๑.๗ |
๖๐๙.๗ |
๔๖๘.๓ |
๒๔๒๙.๔ |
กระบี่ |
๓๐.๓ |
๒๔.๗ |
๕๗.๙ |
๑๐๘.๘ |
๒๑๓.๘ |
๒๕๙.๑ |
๒๒๓.๐ |
๒๒๕.๐ |
๒๙๘.๙ |
๒๑๐.๖ |
๑๕๒.๙ |
๔๖.๖ |
๑๘๕๒.๓ |
ภูเก็ต |
๓๔.๓ |
๒๓.๗ |
๕๔.๐ |
๑๒๐.๙ |
๓๐๙.๔ |
๒๘๙.๑ |
๓๐๓.๘ |
๒๗๖.๘ |
๓๖๙.๙ |
๒๓๗.๐ |
๑๗๐.๔ |
๕๘.๒ |
๒๓๓๗.๕ |
พัทลุง |
๑๗๖.๒ |
๓๙.๑ |
๕๖.๙ |
๑๐๓.๑ |
๑๐๙.๐ |
๖๗.๗ |
๘๑.๐ |
๙๓.๒ |
๙๗.๖ |
๓๐๑.๑ |
๖๙๕.๒ |
๔๗๒.๑ |
๒๒๙๒.๒ |
ตรัง |
๕๖.๔ |
๒๕.๕ |
๕๖.๓ |
๑๒๙.๖ |
๒๖๕.๙ |
๒๖๙.๗ |
๒๙๗.๕ |
๒๗๘.๙ |
๓๓๕.๘ |
๓๐๒.๙ |
๒๑๕.๑ |
๙๓.๘ |
๒๓๒๗.๔ |
สงขลา |
๑๑๔.๑ |
๓๑.๗ |
๓๖.๓ |
๖๒.๑ |
๑๒๓.๗ |
๙๘.๗ |
๑๐๘.๘ |
๑๐๖.๙ |
๑๒๔.๔ |
๒๙๙.๖ |
๕๘๒.๖ |
๔๐๔.๙ |
๒๐๙๓.๘ |
ปัตตานี |
๑๑๒.๙ |
๒๖.๑ |
๓๒.๔ |
๕๙.๙ |
๑๓๖.๓ |
๑๑๗.๑ |
๑๐๑.๓ |
๑๑๙.๖ |
๑๔๒.๓ |
๒๑๔.๒ |
๔๓๒.๑ |
๓๒๒.๖ |
๑๘๑๖.๓ |
สตูล |
๓๖.๙ |
๒๘.๙ |
๑๐๓.๕ |
๑๙๕.๑ |
๒๗๓.๒ |
๒๒๐.๓ |
๒๕๙.๓ |
๓๐๑.๘ |
๓๗๙.๘ |
๓๘๒.๖ |
๒๘๑.๗ |
๗๖.๗ |
๒๕๔๐.๑ |
ยะลา |
๑๐๘.๙ |
๓๐.๙ |
๕๐.๒ |
๗๓.๐ |
๑๓๕.๓ |
๙๓.๐ |
๑๒๕.๘ |
๑๓๐.๔ |
๑๕๓.๑ |
๒๓๗.๔ |
๒๔๒.๓ |
๒๘๙.๖ |
๑๗๒๙.๙ |
นราธิวาส |
๒๐๐.๕ |
๕๓.๘ |
๗๓.๙ |
๖๒.๘ |
๑๔๕.๕ |
๑๓๕.๖ |
๑๓๗.๒ |
๑๕๘.๗ |
๒๐๓.๒ |
๓๐๔.๙ |
๖๓๙.๐ |
๕๐๓.๗ |
๒๖๑๘.๘ |
ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยของจังหวัดต่าง ๆ ในภาคใต้
*สถานีท้ายเหมือง ค่าเฉลี่ย
ที่มา : กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงคมนาคม
เทือกเขาภูเก็ตเป็นแนวมาจากเทือกเขาตะนาวศรีซึ่งอยู่ทางตะวันตกตั้งแต่จังหวัดชุมพร ระนอง พังงา และภูเก็ต ภูเขาเหล่านี้เป็นภูเขาเตี้ย ๆ มีหินอัคนีดันตัวขึ้นมาหลายแห่งตลอดแนวของเทือกเขา ตามแนวการดันตัวของหินอัคนีเหล่านี้มีแร่ดีบุกและวุลแฟรมอยู่หลายแห่งและเป็นผลิตผลที่สำคัญต่อเศรษฐกิจในบริเวณนี้ นอกจากการดันตัวของหินอัคนี บริเวณนี้ยังมีหินปูนในลักษณะภูเขาโดด ๆ อยู่มากมาย โดยเฉพาะในบริเวณจังหวัดพังงา เขาหินปูนโดด ๆ เป็นเกาะกระจายอยู่มากมายในอ่าวพังงาและกระบี่
เทือกเขานครศรีธรรมราชเริ่มตั้งแต่เกาะพะงัน เกาะสมุย และเข้ามายังสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สงขลา และสตูล เทือกเขานี้เป็นสันแบ่งภาคใต้ออกเป็นฝั่งตะวันออกและตะวันตก ภูเขามีความสูงไม่มากนัก ลักษณะคล้ายคลึงกับเทือกเขาภูเก็ต มีการดันตัวของหินอัคนีซึ่งพบแร่ดีบุกและวุลแฟรมเช่นเดียวกัน และมีภูเขาหินปูนโดด ๆ กระจายอยู่ตลอดแนวเทือกเขา ลักษณะภูมิประเทศที่เด่นชัดระหว่างด้านตะวันออกและตะวันตกของเทือกเขานครศรีธรรมราช คือทางด้านตะวันออกเป็นที่ราบเข้ามาจดเชิงเขา ส่วนทางด้านตะวันตกมีลักษณะเป็นที่ราบแคบ ๆ และที่ราบลูกระนาด
เทือกเขาสันกาลาคีรีเป็นแนวภูเขาซึ่งอยู่ในแนวพรมแดนไทยและมาเลเซีย เทือกเขานี้เป็นส่วนเหนือของเทือกเขาในมาเลเซียอันเป็นแนวภูเขาตอนกลางของประเทศนั้น แนวภูเขานี้มีลักษณะเช่น เดียวกับเทือกเขา ๒ เทือกแรก คือมีการดันแทรกตัวของหินอัคนี มีพบดีบุกและวุลแฟรมเช่นกันในมาเลเซีย ส่วนที่อยู่ในประเทศไทยมีพบบ้างแต่ไม่มากนัก
อุณหภูมิ จากการที่ภาคใต้ได้รับแสงแดดสม่ำเสมอทั้งปีดังกล่าวแล้ว จึงทำให้ภาคใต้มีอุณหภูมิสูงสม่ำเสมอตลอดทั้งปี และความแตกต่างของอุณหภูมิมีน้อย ไม่มีเดือนที่ร้อนจัดหนาวจัดจริง ๆ นอกจากนั้นความแตกต่างของอุณหภูมิประจำวันก็มีไม่มากนัก โดยทั่วไปจะต่างกันไม่เกิน ๕ องศาเซลเซียส ระหว่างอุณหภูมิต่ำสุดและอุณหภูมิสูงสุดประจำวัน การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิมีน้อย มีผลต่อสภาพทางธรรมชาติอื่น ๆ หลายประการ โดยเฉพาะพืชจะมีระยะของการเจริญเติบโตตลอดทั้งปี ดังนั้นพืชในบริเวณนี้ ส่วนมากจะมีใบเขียวชอุ่มอยู่ตลอดปี
สภาพอุณหภูมิเช่นนี้ส่งผลโดยตรงต่อชาวภาคใต้มาก เช่น การที่อุณหภูมิสูงและไม่ต่างกันทำให้ชาวภาคใต้ใช้เครื่องแต่งกายในลักษณะเดียวกันตลอดทั้งปี การแต่งกายเป็นแบบง่าย ๆ เสื้อผ้าหลวม ๆ และมีเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น ในกรณีของผู้ชายบางครั้งจะไม่สวมเสื้อ หรือผู้หญิงมีเพียงผ้าสไบพันอก แม้ว่าภาพเช่นนี้จะไม่ค่อยพบมากนักในปัจจุบัน เพราะวัฒนธรรมในการแต่งกายแบบใหม่ ๆ ได้เข้ามามีอิทธิพล แต่การดัดแปลงการแต่งกายให้เข้ากับสภาพอุณหภูมิของอากาศก็ยังคงอยู่ การมีอุณหภูมิสูงทำให้ชาวภาคใต้มีกิจกรรมในการดำรงชีวิตเป็นไปแบบเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน การแข่งขันกับธรรมชาติจึงไม่จำเป็นต้องมี เพราะการเร่งรีบและเพิ่มจังหวะในการทำงานจะเป็นการเพิ่มความร้อนในร่างกายมากขึ้น และทำให้รู้สึกอึดอัด จังหวะการทำงานที่เห็นได้ง่าย ๆ คือ การเดิน ส่วนมากจะเดินอย่างช้า ๆ และใช้ เวลาตอนบ่ายซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิประจำวันสูง เป็นระยะเวลาพักผ่อน ช่วงเวลาทำงานในที่โล่งแจ้ง เช่น ทุ่งนา จะนิยมทำกันในเวลาเช้าตรู่และในช่วงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่อุณหภูมิและแสงแดดไม่รุนแรงเกินไป จะเห็นได้จากการทำนาและการกรีดยางในสวนยางทุกคนจะออกทำงานก่อนที่จะมีแสงสว่าง โดยเฉพาะการกรีดยางมีความจำเป็นต้องกรีดยางขณะที่อุณหภูมิไม่สูงเพื่อกันไม่ให้น้ำยางแห้งเร็วเกินไป ส่วนในตอนบ่ายซึ่งอุณหภูมิถ้าไม่พักผ่อนจะทำกิจกรรมเบา ๆ ในร่ม เช่น การจักสานอยู่ในบ้าน โดยเฉพาะใต้ถุนบ้านซึ่งสร้างไว้สูงและนั่งทำงานได้ และมักจะมีแคร่สำหรับเป็นที่นั่งทำงาน อุณหภูมิมีผลต่อรูปแบบของที่อยู่อาศัยในภาคใต้ นั่นคือมีลักษณะโปร่งให้ลมถ่ายเทได้สะดวกเป็นการระบายความร้อน วัสดุที่นำมาก่อสร้างเป็นวัสดุที่ไม่ดูดเก็บความร้อน เช่น ไม้ และส่วนของพืช เป็นต้น
ความชื้นและปริมาณน้ำฝน ภาคใต้แตกต่างไปจากภาคอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด คือความชื้นและปริมาณน้ำฝน เนื่องจากภาคนี้มีพื้นน้ำขนาบอยู่ทั้ง ๒ ด้าน ความชื้นจากพื้นน้ำจึงมีอิทธิพลต่อภาคใต้มากทั้งในด้านพืชพรรณในบริเวณนี้และความเป็นอยู่ของผู้คน
ความชื้นและน้ำฝนมีปริมาณสูง มีผลต่อที่อยู่อาศัย ความชื้นแฉะและน้ำซึ่งมีโอกาสขังนองอยู่เสมอ ดังนั้นเสาเรือนซึ่งทำด้วยไม้ในภาคใต้จึงไม่นิยมฝังลงในดิน แต่จะวางอยู่บนท่อนไม้หรือศิลาแลง หรือหินทรายแดงหรือซีเมนต์ ในสมัยโบราณจะนิยมใช้ท่อนไม้หรือสกัดหินมารองเสาเรียกว่า ตีนเสา ทั้งนี้เพื่อเป็นการยืดอายุของเสามิให้ผุเร็วอันเนื่องมาจากความชื้น รอบตัวเรือนจะขุดเป็นคูรอบ เพื่อระบายน้ำฝนและหาดินมาปรับพื้นที่ให้สูงขึ้นเป็นการรักษาใต้ถุนบ้านมิให้น้ำฝนไหลเข้ามา หลังคาทำเป็นจั่วชันและคลุมตัวเรือน ไม่นิยมทำเป็นเพิง ทั้งนี้ต้องการให้ระบายน้ำไปอย่างรวดเร็วและยังป้องกันฝนสาดซึ่งอาจมาจากทุกทิศทาง เรือนที่สร้างค่อนข้างทันสมัย ถ้าเป็นเรือน ๒ ชั้นจะมีแนวกันฝนสาดเรียกว่า “กันสาด” มีลักษณะเป็นหลังคาอีกชั้นหนึ่งไปรอบตัวเรือน
ความชื้นและฝนมีผลต่อสุขภาพของคนในภาคใต้มาก โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับทางหายใจ และเยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ และเกิดโรคไซนัสหรือที่เรียกกันในท้องถิ่นว่า “ริดสีดวงจมูก” ปรากฏว่าในภาคใต้มียาพื้นเมืองมากมายสำหรับใช้รักษาโรคดังกล่าว การที่คนในภูมิภาคนี้นิยมอาหารที่เผ็ดจัดก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานจากอาการแน่นจมูก ทั้งนี้เนื่องจากความเผ็ดจะช่วยให้เกิดความร้อนขึ้นในร่างกายชั่วคราวและเป็นผลให้อาการแน่นจมูกค่อยทุเลาลง ความชื้นช่วยให้เชื้อราบางชนิดเกิดขึ้นได้ง่าย และมักจะเกิดกับเสื้อผ้าที่เปียกชื้นเกิดเป็นวงสีเหลือง ๆ ซึ่งชาวบ้านกล่าวกันว่าเกิดจาก “ผีเช็ดปาก”
พืชหลายชนิดเจริญเติบโตในเขตที่มีฝนตกชุกและอากาศชื้น โดยเฉพาะผลไม้ แหล่งผลไม้เขตร้อนหลายชนิดได้พัฒนาจากผลไม้ป่าในเขตนี้ เช่น เงาะ ทุเรียน มังคุด ลางสาด ดังนั้นการบริโภคผลไม้เมืองร้อนเหล่านี้ได้มีการสังเกตถึงคุณโทษ เช่น ผลไม้บางชนิดถ้าบริโภคมากอาจทำให้เกิดการเจ็บป่วย เช่น มะม่วงกับมะไฟ บริโภคมากทำให้ท้องเสีย จึงมีคำพังเพยไว้ว่า “มะม่วงขี้ไกล มะไฟขี้แค่” ความหมายก็คือ ถ้าบริโภคมะม่วงมากถึงแม้ท้องจะเสีย แต่ยังพอที่จะกลั้นได้อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง พอที่จะหาที่ทางอันเหมาะสมไปปลดเปลื้องทุกข์ได้ แต่ถ้าบริโภคมะไฟเข้าไปมาก ๆ ถ้าเกิดท้องเดินแล้วอาจกลั้นไม่อยู่ ทำให้ให้เกิดเปื้อนเปรอะได้ง่าย
ภาคใต้แทบทุกจังหวัดมีปริมาณน้ำฝนมากเพียงพอสำหรับการปลูกข้าวได้โดยมิต้องอาศัยชลประทาน นอกจากนั้นปริมาณความชื้นที่ดินดูดซับไว้จะมีเพียงพอสำหรับป่าไม้ที่เรียกว่าป่าดงดิบโดยทั่วไป ด้วยปริมาณความชื้นที่มีอยู่เป็นผลให้ภาคใต้เป็นภาคที่มีลักษณะเขียวชอุ่มอยู่ตลอดทั้งปี ช่วงที่แห้งแล้งอาจมีอยู่บ้างแต่เป็นช่วงสั้น ๆ ประมาณ ๒-๓ เดือนแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น
พืชพรรณ ภาคใต้เป็นเขตร้อน อุณหภูมิสูงตลอดปี ประกอบกับความชื้นมีมาก จึงทำให้มีพืชพรรณมากมายหลายชนิด จำนวนพืชธรรมชาติที่เจริญงอกงามในภูมิภาคนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากที่เป็นประโยชน์ และมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ได้ศึกษานำมาใช้ประโยชน์และสร้างความเจริญรุ่งเรือง ถ้าจะแบ่งพืชออกเป็นกลุ่มที่มนุษย์ในภูมิภาคนี้นำมาทำประโยชน์ได้มีดังนี้
๑. พืชที่นำมาใช้ก่อสร้างที่อยู่อาศัยจำพวกไม้เนื้อแข็ง ได้แก่ ไม้หลุมพอ เคี่ยม ตะเคียน ตะแบก ตะบูน พะยอม เต็ง รัง จำปา ตำเสา (ดู ตำเสา : พืช) สำหรับไม้หลุมพอและเคี่ยม นับว่าเป็นไม้ที่พบในภาคใต้โดยเฉพาะ มีความแข็งแกร่ง ทนทาน สำหรับหลุมพอจะทนทานเมื่ออยู่ในที่แห้ง ส่วนเคี่ยมทนทานเมื่อแช่อยู่ในน้ำ ไม้ประเภทปาล์มที่แข็งแกร่งอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า “หลาโอน” (เหลาชะโอน) มีความแข็งแกร่ง นิยมเอามาทำเครื่องใช้ ในอดีตภาคใต้มีไม้สีดำประเภทไม้มะเกลือที่เรียกว่า ไม้มะริด นิยมนำไปทำเครื่องใช้ฝังมุก ไม้ชนิดนี้หายาก ถือว่าเป็นเครื่องบรรณาการอย่างหนึ่ง ปัจจุบันคงไม่มีแล้ว สำหรับไม้ตำเสามีความทนทาน ปลวก มอดไม่กิน แต่เนื้อไม้ไม่เรียบ นำไปใช้ทำเสาบ้าน ค้างพริก ค้างพลู ไม้ซึ่งเป็นเสาสร้างบ้านนั้นในภาคใต้จะเลือกเสาไม้ต้นดี ๆ เป็นเสาเอก เรียกว่า “เสาภูมิ” ดั้งเดิมในภาคนี้ไม่นิยมสร้างศาลพระภูมิเช่นภาคกลาง แต่จะมีเสาภูมิเป็นเสาสำคัญของบ้าน มีผ้าสีพันรอบเสา การบูชา “พระภูมิเจ้าที่” ก็ทำกันที่เสาภูมิ ดังนั้นไม้ที่เป็นเสาภูมิจะมีลักษณะดีและคงทน
๒. พืชที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ในภาคใต้ดั้งเดิมไม่นิยมใช้ถ่านแต่จะใช้ไม้ฟืน การหาไม้ฟืนนั้นจะใช้ไม้ผุไม้ตายเป็นฟืน ถ้าเป็นไม้สดก็เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก เช่น ไม้ตรุด แฟบ ขรู เสม็ด จิก แต้ว ฯลฯ ไม้เหล่านี้โตเร็วในอุณหภูมิและความชื้นบริเวณนั้น ขนาดเล็กไม่ต้องผ่าเป็นซีกก็ใช้ได้เลย สำหรับเสม็ดนั้นมีเปลือก เมื่อนำมาชุบน้ำมันยางห่อด้วยใบกะพ้อใช้เป็นไต้หรือคบไฟ ภายหลังเมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้นมีการใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิง ชายฝั่งทะเลภาคใต้ที่เป็นทะเลโคลนจะมีต้นโกงกางขึ้นหนาแน่น (บางท้องถิ่นในภาคใต้เรียกโกงกางว่า “พังกา”) ถ่านไม้โกงกางถือว่าเป็นถ่านไม้ชั้นดี พืชชนิดนี้นับว่าเป็นพืชสำคัญทางเศรษฐกิจของภาคใต้ ปัจจุบันป่าชายเลนได้ถูกทำลายลงไปมาก จึงต้องมีการอนุรักษ์ บริเวณป่าชายเลน ยังมีต้นจาก ซึ่งนำใบมาเป็นวัสดุมุงหลังคา
๓. พืชสมุนไพร เครื่องเทศ และของหอม ภาคใต้มีพืชเป็นจำนวนมากที่นำมาใช้เป็นสมุนไพรและเครื่องเทศ บริเวณนี้เป็นที่รู้จักกันมานานแล้วว่าเป็นแหล่งสมุนไพรและเครื่องเทศ และส่งออกไปขายยังที่ต่าง ๆ พืชเหล่านี้ได้แก่ พริกไทย ดีปลี กระวาน ขิง ข่า กระชาย ขมิ้น เร่ว อบเชย กำยาน กฤษณา ฝาง แฝก จันทน์แดง จันทน์ขาว ลำเจียก เตยหอม เจ็ดราตรี (ต้นวาสนา) ฯลฯ พืชเหล่านี้ หลายอย่างเป็นของป่าซึ่งหาได้ง่ายในภาคใต้เพราะความเหมาะกับดินฟ้าอากาศ
๔. พืชซึ่งใช้ประโยชน์อื่น ๆ ในภาคใต้ประชาชนนิยมกินผักสดซึ่งเป็นยอดไม้เรียกว่า “ผักเหนาะ” (ดู ผักเหนาะ) ใช้จิ้มน้ำพริกกินกับแกงเผ็ดหรือน้ำพริก ผักเหล่านี้มีรสชาติต่าง ๆ กันตั้งแต่ขมเล็กน้อยไปจนเปรี้ยวและฝาด ผักสดประเภทเหล่านี้นิยมเก็บจากป่านำมาบริโภคเฉพาะยอดอ่อน มีให้บริโภคหมุนเวียนไปตลอดทั้งปี นอกจากนั้นใบไม้บางชนิดนำมาใช้มุงหลังคา เช่น ใบจาก ใบสาคู (ดู สาคู : พืช) สำหรับจากยอดอ่อนตากแห้งนำมามวนยาสูบ ใบกะพ้อนำมาห่อขนม เช่น ห่อข้าวเหนียวใช้ในบางเทศกาล เป็นต้น
ทรัพยากร ในภาคใต้มีทรัพยากรแร่ธาตุเป็นจำนวนมากที่รู้จักกันดีคือดีบุกและวุลแฟรม ดั้งเดิมนั้นเชื่อกันว่าบริเวณนี้มีทองคำ เพราะในแผนที่ปโตเลมีเรียกบริเวณนี้ว่าแหลมทองคำ ปัจจุบันพบทองคำในบริเวณจังหวัดนราธิวาส นอกจากนั้นภาคใต้ยังมีแร่อื่น ๆ โดยเฉพาะทรายแก้ว ซึ่งสะอาดบริสุทธิ์ทั้งชายฝั่งด้านตะวันออกและด้านตะวันตก ทรายเหล่านี้เหมาะสำหรับทำอุตสาหกรรมแก้ว เลนส์ ใยแก้ว ฯลฯ ซึ่งถ้าได้พัฒนาอย่างเต็มที่จะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล นอกจากนั้นยังมีดินสำหรับปั้นถ้วยชามอีกด้วย
การประกอบอาชีพ ประชากรในภาคใต้ประกอบอาชีพหลักเช่นเดียวกับประชากรในภูมิภาคอื่น คือการกสิกรรม พื้นที่บริเวณใดที่เหมาะสมสำหรับทำนาจะมีการปลูกข้าวกันโดยทั่วไป ทั้งนี้เพราะข้าวเป็นอาหารหลัก การปลูกข้าวส่วนมากนิยมทำนาดำ การทำนาหว่านมีบ้างในบางท้องที่ เนื่องจากข้าวมีไม่มากนัก ทางภาคใต้จึงมีประเพณีเกี่ยวกับข้าวอยู่หลายอย่าง เช่น การทำขวัญข้าวเมื่อเก็บข้าวขึ้นยุ้งหรือ “เรือนข้าว” การเกี่ยวข้าวแทนที่ใช้เคียวเกี่ยวก็นิยมเก็บข้าวทีละรวง โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “แกะ” หรือ “แกละ” (ดู แกะ : เครื่องมือเก็บข้าว) การมัดข้าวเป็นฟ่อนเฉพาะรวงขนาดกำมือเรียกว่า “เลียง” ข้าวแต่ละเลียงจะนำไปกองอย่างมีระเบียบในเรือนข้าว การเก็บข้าวเปลือกโดยวิธีนี้ทำให้ เก็บข้าวไว้ได้นานหลายปี เมื่อจะใช้จึงนำมานวดและสีเป็นคราว ๆ ไป วิธีการเก็บข้าวในภาคใต้แตก ต่างจากภูมิภาคอื่นของประเทศ ด้วยเหตุผลที่ภาคใต้มีพื้นที่ซึ่งเหมาะแก่การปลูกข้าวไม่มากนัก อย่างไรก็ตามข้าวเป็นพืชหลักเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น
การทำสวน ภาคใต้มีพื้นที่เหมาะสำหรับทำสวนเพราะเป็นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ มีฝนชุก การระบายน้ำก็สะดวกดี สวนที่ทำกันมากคือ สวนยางพารา นับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจ การทำยางพาราเป็นงานที่ต้องทำต่อเนื่องไปทุกวัน ขณะที่ยางให้ผลผลิตซึ่งแตกต่างจากการเพาะปลูกพืชอื่นซึ่งทำกันเป็นฤดูกาล ในปัจจุบันการทำสวนยางพาราจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคใหม่ ๆ เข้ามาช่วย ปาล์มน้ำมันเป็นพืชสวนอีกอย่างหนึ่งที่เป็นพืชเศรษฐกิจในภาคใต้ สวนปาล์มน้ำมันต้องทำเป็นกิจการขนาดใหญ่ ต้องมีโรงงานสกัดน้ำมัน จากเมล็ดปาล์มควบคู่กันไปด้วย สวนมะพร้าวปลูกกันในบางท้องที่ เช่น เกาะสมุย เกาะพะงัน นอกจากนั้นมีกระจายอยู่ทั่วไปเพราะในภูมิภาคนี้เหมาะสำหรับปลูกมะพร้าว สวนผลไม้มีปลูกกันมาก ได้แก่ เงาะ มังคุด ทุเรียน ส้ม ฯลฯ
การทำไร่ พืชไร่ในภาคใต้มีปลูกกันบ้างในบางท้องถิ่น พืชที่ปลูกกันมีข้าวไร่ ถั่วลิสง ถั่วหรัง มันขี้หนู เผือกต่าง ๆ ข้าวโพด และมันสำปะหลังซึ่งปลูกกันน้อยเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ การทำไร่ใน ภาคใต้ส่วนมากหมายถึงการทำไร่เลื่อนลอย
การประมง เนื่องจากชายฝั่งทะเลในภาคใต้ยาวเหยียด และยังเปิดออกสู่ทะเลหลวง ดังนั้นในภูมิภาคนี้จึงมีการทำประมงกันมาก มีท่าเรือประมงใหญ่ ๆ หลายแห่ง เช่น ที่ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ระนอง และตรัง ท่าเรือประมงเหล่านี้มีเรือประมงที่ออกไปจับปลาในทะเลลึก นอกจากนั้นบริเวณใกล้เคียงกับท่าเรือจะมีอุตสาหกรรมสนับสนุนการประมง เช่น โรงงานน้ำแข็ง ห้องเย็น โรงงาน ปลากระป๋อง โรงงานปลาป่น ฯลฯ การประมงในภาคใต้ได้เจริญก้าวหน้าเป็นอันมาก ทางด้านทะเลอันดามันเรือหาปลาไปจับปลาถึงบังคลาเทศ อินเดีย บางลำไปถึงตอนใต้ของแอฟริกา ส่วนทางฝั่งตะวันออกไปถึงบอร์เนียวหรือไกลกว่านั้น
เศรษฐกิจ ภาคใต้โดยส่วนรวมการเศรษฐกิจค่อนข้างดี ประชากรส่วนใหญ่มีงานทำ ดังนั้นปัญหาที่ประชากรในภูมิภาคนี้อพยพไปหางานทำในภูมิภาคอื่นจึงน้อย มีแต่ประชากรจากที่อื่นเข้ามาหางานทำในภาคนี้ เศรษฐกิจนั้นขึ้นอยู่กับยาง แร่ และการประมง เป็นสำคัญ ปัจจุบันการท่องเที่ยวก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญขึ้นในเมืองใหญ่ ๆ เช่น หาดใหญ่ ภูเก็ต และเกาะสมุย มีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศมาเที่ยวกันมากเพราะภาคใต้มีชายฝั่งทะเลที่สวยงาม สำหรับหาดใหญ่มีธุรกิจหลายอย่างทั้งเป็นชุม ทางรถไฟด้วย นับว่าเป็นเมืองธุรกิจ มีความใหญ่โตไม่แพ้เชียงใหม่ ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของภาคใต้ นั้นเนื่องจากผลิตผลในภาคใต้มีหลายอย่าง แทนที่จะขึ้นอยู่กับพืชเพียง ๑ หรือ ๒ อย่างเช่นภาคอื่น ๆ แต่ในภาคใต้มีพืชทางเศรษฐกิจหลายอย่าง เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว กาแฟ ผลไม้ และข้าวสำหรับข้าวภาคใต้ผลิตได้ไม่มากนักแต่มีเกือบเพียงพอสำหรับการบริโภคภายในภาค การเลี้ยงสัตว์ก็เป็นผลิตผลสำคัญของภาคใต้ เช่น การเลี้ยงหมู เป็ด วัว ควาย และการเลี้ยงสัตว์น้ำตามชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะการเลี้ยงกุ้งและหอยได้ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
พิจารณาจากศักยภาพแล้ว พบว่าภาคใต้มีศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะชายฝั่งทะเลซึ่งกระหนาบภาคใต้อยู่ทั้ง ๒ ด้าน ช่วยให้การติดต่อค้าขายกับภายนอกด้านทางน้ำทำได้สะดวก และเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาคใต้ในอดีตเป็นเส้นทางผ่านในการติดต่อค้าขายระหว่างจีนและอินเดียเป็นเวลาช้านาน การค้าขายในรูปของเส้นทางผ่านทำให้เกิดวัฒนธรรมผสมกลมกลืนกันขึ้นในบริเวณนี้ การค้าขายในอดีตนั้นเกิดจากการแลกเปลี่ยนกันระหว่างพ่อค้าจีนและพ่อค้าอินเดียประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งเกิดจากศักยภาพด้านทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะเครื่องเทศ สมุนไพร ไม้หอม รังนก และแร่ดีบุก เป็นต้น การติดต่อค้าขายเป็นการนำวัฒนธรรมและเทคโนโลยีมาสู่ภูมิภาคนี้ ตัวอย่างที่สำคัญ เช่น การทำเครื่องถมที่นครศรีธรรมราช (ดู เครื่องถมนครศรีธรรมราช) เป็นต้น
ภาวะของเศรษฐกิจในภาคใต้ ถ้าพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมเฉลี่ยต่อคนเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ปรากฏว่ามีสูงกว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ แต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกตามลำดับ จังหวัดที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศมี ๓ จังหวัด ซึ่งมีการทำเหมืองแร่สูง คือ ระนอง พังงา และภูเก็ต ส่วนจังหวัดที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม ต่ำสุด ๓ จังหวัดได้แก่ ปัตตานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง ถึงแม้จะมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมต่ำแต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถ้าพิจารณาโดยภาพรวม ๆ แล้ว ภาคใต้มีลักษณะเศรษฐกิจค่อนข้างดี สำหรับวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจของภาค ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการผลิตพืชเพื่อการค้าอันได้แก่ ยางพารา มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน เป็นต้น ผลิตผลที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเหมืองแร่ แต่การทำเหมืองแร่จะมีปัญหาในด้านการกระจายรายได้ เพราะผลได้จากผลิตภัณฑ์จะไม่กระจายไปสู่ประชากร ส่วนใหญ่ในพื้นที่รายได้เป็นกอบเป็นกำจะตกอยู่แก่ผู้ลงทุน
เนื่องจากภาคใต้มีระบบเศรษฐกิจที่วางรากฐานบนพืชผลหลายอย่าง และประกอบกับได้รับการติดต่อจากภายนอกมากและเคยเป็นทางผ่านมาก่อน ภาคใต้จึงมีวัฒนธรรมทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า “วันนัด” หรือ หลาดนัด (ตลาดนัด) เป็นวันนัดติดตลาดตามท้องที่ต่าง ๆ ระบบวันนัดมีหลายระบบยังไม่ได้ศึกษากันอย่างกว้าง เท่าที่เป็นหลักฐานมีวิทยานิพนธ์ศึกษาระบบวันนัดในจังหวัดสตูล อย่างไรก็ตามวันนัดเป็นวัฒนธรรมที่เด่นชัดในภาคใต้และส่งเสริมเศรษฐกิจในภาคนี้มาก เพราะเป็นการนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนกัน ทำให้เกิดการหมุนเวียนด้านเศรษฐกิจ เป็นการกระตุ้นการผลิตและเป็นการแข่งขันด้านคุณภาพด้วย อีกประการหนึ่ง วันนัดนั้นมีความสำคัญในขณะที่การคมนาคมยังไม่สะดวกเพราะเป็นการยกตลาดไปสู่ผู้บริโภค ปัจจุบันการคมนาคมสะดวก ตลาดนัดของจุดย่อย ๆ หายไป และจุดใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นชุมทางคมนาคมกลับดีขึ้น ที่น่าสนใจคือวันนัดเป็นข้อตกลงของชุมชนว่าวันไหนมีนัดที่ไหนและการนัดจะใช้ระบบใด เช่น มีนัด ๑ วัน เว้นไป ๒ วัน หรือนัดวันไหนของสัปดาห์ แต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน (ดู วันนัด)
อิทธิพลทางเศรษฐกิจในภาคใต้ มีอยู่ระยะหนึ่งได้รับอิทธิพลจากสิงคโปร์และปีนังมาก โดยเฉพาะในช่วงที่อังกฤษปกครองดินแดนนี้อยู่ ประกอบกับการคมนาคมจากส่วนกลางที่จะติดต่อมายังภาคใต้ไม่สะดวก ดังนั้นวัฒนธรรมทางเศรษฐกิจหลายอย่างจะมีการถอดรูปแบบมาจากสิงคโปร์และปีนัง เช่น การจัดลักษณะของร้านค้า รูปร่างของร้านที่อยู่ในชุมชน อย่างไรก็ตามขณะนี้อิทธิพลจากเพื่อนบ้านดังกล่าวได้ลดน้อยไปมาก และแทบจะพูดได้ว่าส่วนใหญ่ของภาคใต้กลับหันเข้าสู่กรุงเทพฯ แม้ว่าบางจังหวัดความผูกพันทางด้านศาสนาจะยังเหนี่ยวรั้งอยู่บ้างก็ตาม แต่อิทธิพลของกรุงเทพฯ มีมากกว่า
สังคม ถ้าพิจารณาลักษณะทางสังคมโดยทั่วไปของภาคใต้ก็คล้ายกับภูมิภาคอื่นของประเทศ คือมีลักษณะครอบครัวขยาย (extended family) มีระบบเครือญาติที่ผูกพันกันเหนียวแน่น เนื่องจากภาคใต้ได้รับวัฒนธรรมและการติดต่อจากโลกภายนอกอยู่มาก ดังนั้นสังคมในระบบครอบครัวจึงถูกเสริมให้แน่นหนายิ่งขึ้น ประเพณีในภาคใต้ดั้งเดิมนั้นเมื่อแนะนำใครจะต้องบอกถึงปู่ย่าตาทวดด้วย เป็นการลำดับความเป็นมาในครอบครัวอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามลักษณะดังที่กล่าวมาเรียกได้ว่าเป็นสังคมชนบท ความเป็นจริงที่พบว่าสภาพสังคมภาคใต้เป็นสังคมชนบทอย่างชัดเจน ประชากรส่วนใหญ่ในภาคใต้อยู่ตามชนบทเช่นเดียวกับภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศ การกระจายของประชากรในชนบทนั้นมี ๒ ลักษณะใหญ่ ๆ คือจับกลุ่มกันหนาแน่นตามหมู่บ้าน และกระจายอยู่เป็นหลัง ๆ ตามบริเวณที่ทำการเพาะปลูก เช่น สวนยางพารา สวนมะพร้าวและไร่ เป็นต้น
ถ้าพิจารณาจากสภาพภูมิศาสตร์แล้วพบว่าอิทธิพลทางภูมิศาสตร์มีผลต่อสังคมในภาคใต้พอสมควร กล่าวคือทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้มีที่ราบชายฝั่งทะเล ดังนั้นการทำนาจึงมีมาก สภาพของสังคมจึงมุ่งไปทางด้านเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพ กิจกรรมด้านอาชีพจึงเป็นเพียงบางฤดูกาล การแลกเปลี่ยนผลิตผลระหว่างกันมีไม่มากนัก เพราะผลิตผลในแต่ละท้องถิ่นคล้ายคลึงกัน ความมั่นคงของสังคมคือข้าวซึ่งเป็นอาหารหลัก การมีข้าวไว้พอบริโภคเป็นพื้นฐานอันสำคัญของสังคม ส่วนทางด้านตะวันตกของภาคใต้ มีที่ราบน้อย ส่วนใหญ่เป็นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่เหมาะสำหรับทำนา กิจกรรมทางเศรษฐกิจจึงเน้นไปทางด้านทำไร่ทำสวน ผลิตผลจึงมีทั้งที่บริโภคได้และบริโภคไม่ได้ ดังนั้นการแลกเปลี่ยนผลิตผลเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารหลักอันได้แก่ข้าวจึงมีความจำเป็นและสำคัญมาก การแสดงออกอันเป็นพื้นฐานของความมั่งคั่งในสังคมจึงเป็นไปในอีกลักษณะหนึ่ง
เนื่องจากผลิตผลทางการเกษตรกรรมโดยเฉพาะยางพารามีความเปลี่ยนแปลงในด้านราคามากจนกระทั่งมีผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของประชากรในภาคใต้มาก ประกอบกับผลิตผลจากยางพาราจะทยอยออกมาในลักษณะที่มีความถี่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับพืชอย่างอื่น ยังผลให้การใช้จ่ายในภาคใต้ค่อนข้างสูง เป็นที่สังเกตว่าขณะที่ยางพารามีราคาสูง บริเวณชุมชนจะคึกคักด้วยผู้คน ธุรกิจทุกอย่างจะหมุนเวียนอย่างมาก แต่พอยางพารามีราคาลดลงมาก ๆ ธุรกิจทุกอย่างเกือบเป็นอัมพาตไปด้วย แต่เนื่องจากภาคใต้มีพืชผลหลายอย่างดังที่กล่าวแล้วตอนต้น จึงพอจะเป็นปัจจัยให้ธุรกิจดำเนินการต่อเนื่องได้ แต่ความแตกต่างจะเห็นได้ชัดเจน จากสภาพที่ผลิตผลออกมาค่อนข้างมีความถี่สูงและมีความหวังที่จะมั่งคั่ง จึงทำให้สังคมทั่ว ๆ ไปในภาคใต้มีการอดออมน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และสาเหตุประการนี้ส่งผลต่อสภาพของสังคมโดยเฉพาะการรักษาหน้า ความรู้สึกทางสังคมด้านการรักษาหน้าในภาคใต้อาจมีสูงกว่าภาคอื่น ๆ การหักหน้าหรือทำลายเกียรติยศในสังคมทางภาคใต้ อาจมีผลรุนแรงกว่าที่อื่น การล้อเลียนในคำพูดของภาษาพื้นเมืองอาจสร้างความแค้นเคืองแก่บุคคลส่วนใหญ่ในภาคใต้ได้ คำพูดบางคำอาจถือว่าเป็นการสบประมาท เช่น การกำหนดหมู่บ้านยากจน ถ้าสอบถามในเชิงวิจัย คนในหมู่บ้านอาจไม่ยอมรับ ลักษณะเช่นนี้อาจมีเหมือนกันทุกแห่ง แต่ความรู้สึกในภาคใต้จะมีรุนแรงกว่า สภาพสังคมเช่นนี้ทำให้ทางภาคใต้มีคนที่ดื้อรั้นหัวแข็ง บางครั้งเป็นไปในลักษณะที่ไร้เหตุผลเรียกกันว่า “หัวไม้” เมื่อเป็นหนัก ๆ เข้าก็อาจรังแกคนอื่น จึงเห็นได้ว่าโจรผู้ร้ายในภาคใต้มีมากเพราะสภาพสังคมส่งผลให้เป็นเช่นนั้น นอกจากปัญหาสังคมส่วนบุคคลแล้วในภาคใต้ยังมีกลุ่มอิทธิพลผลประโยชน์ต่าง ๆ มาก ซึ่งเป็นปัจจัยต่อสังคมในภูมิภาคนี้มาก
การศึกษาจะช่วยทำให้สังคมในภาคใต้คลี่คลายได้ ในอดีตนั้นการศึกษาในภาคใต้ยังมีไม่ค่อยทั่วถึง ทำให้คนขาดความรู้และความเข้าใจสภาพของตัวเอง ปัจจุบันการศึกษาได้แพร่กระจายเข้าไปอย่างทั่วถึง และแนวโน้มคนในภาคใต้นิยมส่งบุตรหลานให้เรียนหนังสือในระดับสูง ๆ ซึ่งจะเป็นผลสำคัญให้ความรู้สึกทางสังคมในด้านลบลดน้อยลงไปได้ด้วย (ประเสริฐ วิทยารัฐ)