อั้งยี่ เป็นสมาคมลับนอกกฎหมาย ซึ่งทำหน้าที่คอยพิทักษ์ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือทำหน้าที่เป็นนายหน้าหางานให้คนจีนที่มาจากประเทศจีน เกลี้ยกล่อมคนจีนให้เข้ามาเป็นพวกตนและเป็นองค์การที่จัดตั้งโดยคนจีนร่ำรวย ทั้งนี้โดยมีเป้าหมายหลักทางการค้าและธุรกิจ
อั้งยี่เมืองภูเก็ตสมัยกบฏอั้งยี่ มีอยู่ ๒ กงสีใหญ่ คือ
(๑) กงสี “งี่หิน” รู้กันในนาม “พวกกระทู้” หรือ “พวกแดง” อยู่ในบังคับบัญชาของต้นแซ่ “แซ่ลิ่ม” มีสมาชิกประมาณ ๓,๕๐๐ คน มีเขตอิทธิพลในเขตอำเภอกระทู้ปัจจุบัน กงสีนี้เป็นพวกที่ชอบพอกับเจ้าเมืองภูเก็ต
(๒) กงสี “ปูนเถ้าก๋ง” รู้กันในนามว่า “พวกตลาด” หรือ “พวกขาว” อยู่ในบังคับบัญชาของต้นแซ่ “แซ่ตัน” มีสมาชิกประมาณ ๔,๐๐๐ คน มีเขตอิทธิพลในเขตตลาดภูเก็ตบางเหนียวปัจจุบัน เป็นพวกที่ก่อการกบฏต่อเจ้าเมืองภูเก็ต
การทำงานของกรรมกรจีนในเหมืองดีบุกจะอยู่ในรูปของกงสี กรรมกรจีนส่วนใหญ่จัดมาจากเมืองมลายูและสิงคโปร์ โดยอั้งยี่เป็นผู้จัดการ และจะทำงานคราวละ ๑-๓ ปี ค่าจ้างแรงงานทั้งหมดจะฝากไว้กับนายเหมือง เมื่อจะกลับจึงจะคิดบัญชีและเบิกเงินที่เหลือกลับไปประเทศตน
วันเกิดกบฏ
ในคราวตรุษจีนเดือน ๔ ขึ้น ๑๓ ค่ำปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙ ซึ่งเป็นช่วงที่จะต้องส่งตัวกรรมกรจีนกลับประเทศ ปรากฏว่าได้มีอั้งยี่ประมาณ ๓๐๐ คน พร้อมด้วยอาวุธครบมือได้ยกพวกเข้าปล้นนักโทษ ๒ คน ซึ่งสังกัดอั้งยี่ กงสี “ปูนเถ้าก๋ง” ของตน แล้วเหตุการณ์ได้ลุกลามถึงขั้นจลาจลเมื่ออั้งยี่หัวรุนแรงได้ก่อการเผาตลาดไล่ฆ่าคนไทยในเขตตลาด (บริเวณโรงพักตลาดใหญ่ปัจจุบัน) และเมื่ออั้งยี่ได้ทำการปลุกระดมหาสมาชิกได้เพิ่มมากขึ้นเป็น ๒,๐๐๐ คน ก็ได้พากันไปทวงเงินค่าแรงงานที่สำนักรัฐบาลและบ้านพักพระยาภูเก็ต (บริเวณศูนย์การค้าเพิร์ลปัจจุบัน)
พระยาภูเก็ต (ลำดวน)ได้อพยพครอบครัวหนีไปที่อื่น ปล่อยให้พระยามนตรีฯ (ซึ่งเป็นน้องเขยพระยาภูเก็ต) อยู่ป้องกันเมืองภูเก็ต ด้วยกลวิธีที่ชาญฉลาดของพระยามนตรีฯ พวกอั้งยี่จึงพ่ายแพ้ กลวิธีของพระยามนตรีฯ คือ (๑) เรียกคนไทยบรรดามีในในบริเวณศาลารัฐบาล และถอดนักโทษในเรือนจำออกมาสมทบกับตำรวจที่มีอยู่ ๑๐๐ คน และได้ทหารเรือในเรือรบขึ้นมาช่วยอีก ๑๐๐ คน ร่วมกันรักษาบริเวณสำนักรัฐบาลและบ้านพระยาภูเก็ต เอาปืนใหญ่ตั้งจุกช่องไว้ทุกทางที่พวกจีนจะเข้าได้ (๒) ให้ไปเรียกจีนพวกหัวหน้าต้นแซ่ซึ่งอยู่ในเมืองเข้ามาประชุมกันที่ศาลารัฐบาลในค่ำวันนั้น (๓) รีบเขียนจดหมายถึงหัวเมืองอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงให้ส่งกำลังมาช่วย (๔) มีหนังสือส่งไปตีโทรเลขที่เมืองปีนัง บอกข่าวไปยังกรุงเทพฯ (๕) มีจดหมายบอกอังกฤษเจ้าเมืองปีนังให้กักเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ อย่าให้พวกจีนส่งมายังเมืองภูเก็ตโดยให้คนถือหนังสือลงเรือเมล์และเรือใบไปยังเมืองปีนังและเมืองอื่น ๆ ตามความสามารถจะไปได้
ในค่ำวันนั้น จีนพวกหัวหน้าต้นแซ่พากันเข้าไปยังศาลารัฐบาลตามคำสั่ง โดยมากรับจะช่วย รัฐบาลตามแต่พระยามนตรีฯ จะสั่งให้ทำประการใด พระยามนตรีฯ จึงสั่งให้พวกหัวหน้าเขียน “ตั๋ว” ออกไปถึงพวกแซ่ของตนที่มากับพวกผู้ร้าย สั่งให้กลับไปที่อยู่ของตนเสียตามเดิม มีทุกข์ร้อนอย่างไร พวกหัวหน้าต้นแซ่จะช่วยแก้ไขให้โดยดี ซึ่งก็ได้ผล ทำให้พวกอั้งยี่พ่ายแพ้อย่างง่ายดาย และต้องพ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่งที่ตำบลฉลอง
มูลเหตุการกบฏ
มูลเหตุที่ผลักดันให้กรรมกรจีนก่อการกบฏครั้งนั้นมีอยู่หลายประการ เช่น ราคาดีบุกตกต่ำ นโยบายการคลังที่ตึงตัวของรัฐบาล ราคาประมูลภาษีอากรสูงเกินไป และกรรมกรจีนไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งจะได้กล่าวเป็นข้อ ๆ ต่อไป
(๑) ราคาดีบุกตกต่ำ ถือได้ว่าเป็นมูลเหตุสำคัญประการแรก เหตุผลก็คือเมืองภูเก็ตมีระบบเศรษฐกิจเปิด เศรษฐกิจเมืองภูเก็ตจึงขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้าการกบฏปรากฏว่าราคาดีบุกที่ตลาดลอนดอนลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ปีนังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลอนดอนรับซื้อดีบุกในราคาที่ต่ำลงด้วย กล่าวคือ ราคาดีบุกที่ตลาดลอนดอนซึ่งเคยมีราคาสูงถึง ๑๔๐ปอนด์สเตอร์ลิงต่อตันได้ลดลงเหลือเพียง ๗๖ ปอนด์สเตอร์ลิงต่อตันในปี พ.ศ. ๒๔๑๙เมื่อราคาดีบุกตกต่ำ รายได้หลักของเจ้าเมืองภูเก็ตก็ตกต่ำไปด้วย เพราะภาษีอากรที่รัฐบาลให้เจ้าเมืองรับทำในระบบการผูกขาด (มี ๕ อย่าง คือ ภาษีดีบุก ภาษีร้อยชักสาม ภาษีฝิ่น ภาษีสุรา และอากรบ่อนเบี้ย) เท่าเดิมแต่ภาระค่าใช้จ่ายกลับสูงขึ้น การผลักภาระให้กรรมกรจีนจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ วิกฤตการณ์ทางการเมืองจึงเกิดขึ้น
(๒) นโยบายการคลังที่ตึงตัวของรัฐบาล ด้วยนโยบายของรัฐบาลในอันที่จะดึงอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจจากกลุ่มขุนนางมาสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้รัชกาลที่ ๕ ได้ออกกฎหมายห้ามฟ้องขาด และถ้าประมูลภาษีได้จะต้องส่งเงินล่วงหน้า ๓ เดือน และต่อไปเดือนละ ๒ ครั้ง และห้ามส่งเป็นของ ถ้าฝ่าฝืนจะมีโทษรุนแรง ซึ่งรัชกาลที่ ๕ ได้เคยลงโทษผู้ฝ่าฝืนรายสำคัญคือการถอดยศตำแหน่งพระยาอากรบริรักษ์ ทั้ง ๆ ที่เป็นหลานและผู้ใกล้ชิดของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เพราะขัดขืนไม่ส่งรายได้ให้แก่หอรัษฎากรพิพัฒน์ (ชัยอนันต์ สมุทวณิช และขัตติยา กรรณสูต เอกสารการเมืองการปกครองไทย, ๒๕๑๘)
นโยบายการคลังที่ตึงตัวเช่นนี้ ทำให้เจ้าเมืองภูเก็ตจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อรัฐบาลก่อนสถานการณ์ทางการเมืองจึงเกิดขึ้นเมื่อกรรมกรจีนมีความจำเป็นต้องใช้เงิน
(๓) ราคาประมูลภาษีอากรสูงเกินไปซึ่งเห็นได้จากระดับราคาประมูลก่อนปี พ.ศ. ๒๔๑๔ เพียงปีละ ๑๗,๓๖๐ บาท และได้สูงขึ้นเป็นปีละ ๓๓๖,๐๐๐ บาท ในปี พ.ศ. ๒๔๑๕-๒๔๑๗ และในปี พ.ศ. ๒๔๑๘-๒๔๑๙ ราคาประมูลภาษีอากรสูงถึงปีละ ๔๘๐,๐๐๐ บาท ราคาประมูลในระดับนี้ เจ้าเมืองภูเก็ตจะต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ๓ เดือนเป็นเงินจำนวน ๑๒๐,๐๐๐ บาท และเงินงวดต่อไป เดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท
การไม่เชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจของพระยาภูเก็ต (ลำดวน) อย่างพระยาภูเก็ต (ทัด) ทำให้การดำเนินงานต้องเสี่ยงมากและตกอยู่ในภาวะขาดทุนเมื่อรัฐบาลได้ส่งเรือรบมารับเงินงวดภาษีอากร เจ้าเมืองจึงจำเป็นต้องนำเงินฝากของกรรมกรจีนมาทดรองจ่าย เมื่อความลับนี้รั่วไหล กรรมกรจีนจึงก่อจลาจลขึ้น
(๔) กรรมกรจีน (อั้งยี่) ไม่ได้รับความเป็นธรรมด้วยข้อที่ว่าเจ้าเมืองภูเก็ตเก็บภาษี ทำให้พวกตนเดือดร้อน และลำเอียงเข้าข้างกงสี “งี่หิน” และกลั่นแกล้งกงสี “ปูนเถ้าก๋ง” (กะลาสีจากเรือรบขึ้นบกเมาสุราแล้ววิวาทกับกรรมกรจีนในตลาดจนเป็นเหตุให้กรรมกรจีน ๒ คนที่ตีกะลาสีถูกจับเอาตัวเข้าไปส่งข้าหลวง)
เมื่อมีเงื่อนไขด้านค่าจ้างแรงงานดังกล่าว ประจวบเหมาะกับการได้มีพวกกบฏอั้งยี่เมืองระนอง (ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือน ๓ แรม ๔ ค่ำ ปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙) ทำให้พวกกรรมกรจีนปูนเถ้าก๋งที่เมืองระนองจำนวน ๓๐๐-๔๐๐ คน มีโทษอาญาร้ายแรง (ส่วนหนึ่งพากันลงเรือแล่นหนีไปทางทะเล) ทำให้อั้งยี่ปูนเถ้าก๋งเมืองภูเก็ตก่อการกบฏขึ้นดังกล่าวมาแล้ว
ผลจากความพ่ายแพ้ของกบฏอั้งยี่ พ.ศ. ๒๔๑๙ ทำให้สมาชิกอั้งยี่จำนวนหนึ่งต้องอพยพหนีไปอยู่ ณ ต่างประเทศและต้นแซ่บางคนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเวลาต่อมา