พงศาวดารเมืองปัตตานี

        พงศาวดารเมืองปัตตานี เป็นหนังสือที่พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) ผู้ว่าราชการเมืองสงขลา ได้เรียบเรียงไว้แต่เมื่อครั้งยังเป็นพระสุนทรานุรักษ์ (ดู วิเชียรคิรี (ชม ณ สงขลา), พระยา) เช่นเดียวกับพงศาวดารเมืองสงขลา นับเป็นหลักฐานเอกสารที่สำคัญยิงในการศึกษาประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมของเมืองปัตตานี ตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

        ด้วยเหตุที่พงศาวดารเมืองปัตตานีเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่ง เมื่อครั้งที่คณะกรรมการหอพระสมุดวชิรญาณได้รวบรวมหนังสือและเอกสารที่มีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีจัดเข้าเป็นหมวดหมู่และพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือชุดประชุมพงศาวดารซึ่งเริ่มมาแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๑ นั้น พงศาวดารเมืองปัตตานีก็ได้รับการพิจารณาให้รวมพิมพ์ในหนังสือชุดนี้ด้วย โดยได้พิมพ์อยู่ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓ เอกสารสำคัญที่พิมพ์รวมอยู่ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓ มี ๓ เรื่อง คือ ประชุมพงศาวดารเมืองปัตตานี ประชุมพงศาวดารเมืองสงขลา (ทั้ง ๒ เรื่องนี้พระยาวิเชียรคิรี (ชม ณ สงขลา) เรียบเรียงขึ้นแต่ครั้งยังเป็นพระสุนทรานุรักษ์) และพงศาวดารเมืองเชียงใหม่ (พระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) แต่เมื่อยังเป็นพระยาศรีสิงหเทพ ได้เรียบเรียงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จฯ ถวายพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

        พงศาวดารเมืองปัตตานีเขียนขึ้นเป็นความเรียงต่อเนื่องกันไปโดยตลอด มีเนื้อความว่าด้วยเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญคือเมืองปัตตานีก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์, เจ้าเมืองปัตตานีถึงแก่กรรมนางพระยาปัตตานีเป็นเจ้าเมืองแทน, นางพระยาปัตตานีให้หล่อปืนใหญ่, หลิมโต๊ะเคี่ยมช่างจีนหล่อปืนใหญ่, เก๊าเนียว (หลิมกอเหนี่ยว) น้องสาวหลิมโต๊ะเคี่ยมอ้อนวอนให้พี่ชายกลับเมืองจีน, หลิมโต๊ะเคียมไม่ยอมกลับเมืองจีน, เก๊าเนียวผูกคอตาย, หลิมโต๊ะเคี่ยมตาย, นางพระยาปัตตานีถึงแก่กรรม, สุลต่านในวงศ์ญาติเป็นเจ้าเมืองปัตตานี, เมืองปัตตานีก่อการกำเริบในสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, การตีเมืองปัตตานี, การตั้งผู้ครองเมืองปัตตานีและจัดการปกครองเมืองปัตตานี, โจรผู้ร้ายเที่ยวตีปล้นเมืองปัตตานีสมัยพระยาปัตตานี (พ่าย), การแยกเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง, กำหนดเขตแดนของ ๗ หัวเมือง, ตั้งผู้รักษาราชการ ๗ หัวเมือง, สมัยพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔ หัวเมือง (ปัตตานี หนองจิก ยะลา ระแงะ) เป็นกบฏ, ปราบกบฏ ๔ หัวเมือง, ต่อมาเป็นเรื่องของการตั้งผู้ว่าราชการหัวเมืองต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

        พงศาวดารเมืองปัตตานีมีสาระสำคัญบางตอน เช่น ตอนเริ่มต้นกล่าวถึงเมืองปัตตานีก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ว่า เดิมเมืองแขกเมื่อครั้งยังเป็นเมืองปัตตานีเมืองเดียว เจ้าเมืองและภรรยาชื่อมิได้ปรากฏ ได้ความว่ามีแต่บุตรผู้ชายคนหนึ่ง แต่ยังเล็ก ครั้นอยู่มาเจ้าเมืองปัตตานีตายลง ภรรยาของพระยาปัตตานีก็ว่าราชการเป็นเจ้าเมืองแทนขึ้น... ในระหว่างภรรยาเจ้าเมืองปัตตานีว่าการเป็นเจ้าเมืองอยู่นั้น สมมติเรียกกันว่านางพระยาปัตตานี 

        ตอนกล่าวถึงหลิมโต๊ะเคี่ยม ช่างหล่อปืนชาวจีนและน้องสาวคือเก๊าเนียวอันเป็นที่มาของวัฒนธรรมความเชื่อของชาวเมืองปัตตานี ต่อมามีความว่า นายช่างผู้ที่หล่อปืน ๓ กระบอกนั้นสืบได้ความว่าเดิมเป็นจีน มาจากเมืองจีน เป็นชาติฮกเกี้ยน แซ่หลิม ชื่อเคี่ยม เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านกะเสะ จีนเคี่ยมคนนี้มาได้ภรรยามลายู จีนเคี่ยมก็เลยเข้าศาสนาเสียด้วย พวกมลายูสมมติเรียกกันว่า หลิมโต๊ะเคี่ยม ตลอดต่อมาจนถึงทุกวันนี้ และในตำบลบ้านกะเสะซึ่งหลิมโต๊ะเคี่ยมอยู่มาก่อนนั้น พลเมืองที่อยู่ต่อมาจนเดี๋ยวนี้ยังนับถือหลิมโต๊ะเคี่ยมว่าเป็นต้นตระกูลของพวกหมู่บ้านนั้น...น้องสาวหลิมโต๊ะเคี่ยม ชื่อเก๊าเนียว ตามมาจากเมืองจีน มาปะหลิมโต๊ะเคี่ยมที่เมืองปัตตานีอยู่เฝ้าอ้อนวอนหลิมโต๊ะเคี่ยมให้ละเสียจากเพศมลายูกลับไปเมืองจีน หลิมโต๊ะเคี่ยมก็ไม่ยอมไป เก๊าเนียวซึ่งเป็นน้องสาวแต่เฝ้าอ้อนวอนหลิมโต๊ะเคี่ยมมานั้นประมาณหลายปี หลิมโต๊ะเคี่ยมก็ไม่ยอมไป แข็งอยู่ เก๊าเนียว ซึ่งเป็นน้องมีความเสียใจหลิมโต๊ะเคี่ยมผู้พี่ชาย จึงผูกคอตาย ครั้นเก๊าเนียวน้องสาวผูกคอตายแล้ว หลิมโต๊ะเคี่ยมผู้พี่ก็จัดแจงศพเก๊าเนียวน้องสาวฝังไว้ที่ตำบลกะเสะ ทำเป็นฮ่องสุยปรากฏอยู่ตลอดมาจนเดี๋ยวนี้ พวกจีนก็เลยนับถือว่าเป็นผู้หญิงบริสุทธิ์หนึ่ง เป็นคนรักชาติตระกูลอย่างหนึ่ง ได้มีการเซ่นไหว้เสมอทุกปีมิได้ขาดที่ศพเก๊าเนียวนี้

        ตอนแยกเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง มีเนื้อความตามพงศาวดารนี้ตอนหนึ่งว่า ในระหว่างพระยาปัตตานี (พ่าย) ว่าราชการเมืองอยู่ ในอาณาเขตเมืองปัตตานีเกิดโจรผู้ร้ายเที่ยวตีปล้นบ้านเรือนชุกชุม พระยาปัตตานี (พ่าย) ปราบปรามไม่สงบลงได้ก็บอกนหนังสือแจ้งราชการเข้ามาเมืองสงขลา พระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋อง) ก็นำหนังสือบอกเข้ามากรุงเทพฯ...โปรดเกล้าฯ ให้พระยาอภัยสงครามกับพระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋อง) ออกไปแยกเมืองปัตตานีเป็น ๗ หัวเมือง พระยาอภัยสงคราม พระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋อง) ครั้นออกไปถึงเมืองปัตตานีแล้ว ก็แยกออกเป็นเมืองปัตตานี ๑ เป็นเมืองยิริง ๑ เป็นเมืองสายบุรี ๑ เป็นเมืองหนองจิก ๑ เป็นเมืองรามันห์ ๑ เป็นเมืองระแงะ ๑ เป็นเมืองยะลา ๑ หลังจากนั้นจึงกล่าวถึงเขตแดนของแต่ละเมืองอย่างละเอียด

        พงศวดารเมืองปัตตานีมีรายละเอียดอื่น ๆ ตามลำดับ เนื้อความที่กล่าวแล้ว แล้วจบลงด้วยข้อความที่ว่า ครั้นปีเถาะ ตรีศก ศักราช ๑๒๕๓ ถึงกำหนดแขก ๗ หัวเมืองนำต้นไม้เงินต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการเข้าทูลเกล้าฯ ถวายตวันเหงาะผู้รักษาเมืองระแงะนำต้นไม้ทองต้นไม้เงิน เครื่องราชบรรณาการเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวาย ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งให้ตวันเหงาะ เป็นพระยาภูผาภักดีศรีสุวรรณประเทศวิเศษวังศาผู้ว่าราชการเมืองระแงะ พระยาระแงะ (ตวันเหงาะ) ว่าราชการเมืองอยู่ที่บ้านพระยาระแงะต่อมาจนเดี๋ยวนี้ในที่บ้านตะหยงหมะซึ่งเป็นที่เดิมของพระยาระแงะ (ตวันบอสู) สร้างไว้ เป็นอันสิ้นกระบวนความในพงศาวดารนี้

        สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งทรงเป็นนายกราชบัณฑิตยสภา ได้ทรงกล่าวถึงพงศาวดารนี้ไว้ในคำนำประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๐ ว่า “พงศาวดารเมืองปัตตานี...ที่พระยาวิเชียรคิรีเรียบเรียงนั้น เรียบเรียงตามความรู้ ความเห็นที่มีอยู่ในเมืองสงขลา และบางทีจะได้สอบกับหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับที่หมอบรัดเลย์พิมพ์ด้วย ในตอนเบื้องต้นเข้าใจผิดหรือยังไม่ทราบความจริงอยู่บ้าง ที่จริงเมืองปัตตานีเป็นเมืองขึ้นของสยามประเทศมาตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระร่วงครองนครสุโขทัยเป็นราชธานี ชาวเมืองปัตตานีเดิมถือพระพุทธศาสนาภายหลังจึงเข้ายึดถือศาสนาอิสลาม ข้อที่ว่าเจ้าเมืองปัตตานีเป็นผู้หญิงนั้นไม่ใช่เพราะลูกยังเป็นเด็ก อย่างพระยาวิเชียรคิรีกล่าวไว้ในหนังสือนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นจดหมายเหตุเก่าหลายเรื่อง แม้ที่พวกพ่อค้าฝรั่งซึ่งไปมาค้าขายครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ตลอดจนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้จดไว้กล่าวต้องกันว่า ประเพณีการปกครองเมืองปัตตานีเลือกผู้หญิงในวงศ์ตระกูลเจ้าเมืองซึ่งมีอายุมากจะพ้นเขตที่จะมีบุตรได้เป็นนางพระยาว่าราชการเมืองสืบ ๆ กันมา ประเพณีอย่างนี้ใช้ในบางเมืองในเกาะสุมาตราก่อนแล้วพวกเมืองตานีจึงเอาอย่างมาใช้ เพิ่งเลิกประเพณีนี้ในชั้นกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีในตอนหลัง ๆ อีกข้อหนึ่งซึ่งกล่าวด้วยการตั้งข้าราชการไทยไปเป็นพระยาปัตตานีเมื่อในรัชกาลที่ ๑ ตลอดมาจนเรื่องแยกเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมืองนั้น ความคลาดเคลื่อนกับหนังสือพระราชพงศาวดารอยู่ เรื่องเมืองปัตตานีว่าโดยใจความเป็นดังนี้ เมื่อกรุงเก่าเสียแก่พม่าข้าศึก บรรดาหัวเมืองแขกมลายูที่เคยขึ้นกรุงศรีอยุธยาพากันตั้งเป็นอิสระ ครั้งกรุงธนบุรียังไม่ได้ปราบปรามลงได้ดังแต่ก่อนมาจนในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีมะเส็ง สัปตศก พ.ศ. ๒๓๒๘ พม่ายกกองทัพใหญ่เข้ามาตีสยามประเทศทุกทิศทุกทาง เมื่อไทยรบชนะพม่าที่เข้ามาทางเมืองกาญจนบุรีและที่ลงมาทางเหนือตีแตกกลับไปแล้ว พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีรับสั่งให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จยกทัพหลวงไปปราบพม่าทางหัวเมืองปักษ์ใต้ เมื่อตีกองทัพพม่าแตกไปหมดแล้ว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จลงไปประทับอยู่ที่เมืองสงขลา มีรับสั่งออกไปถึงบรรดาหัวเมืองแขกมลายูซึ่งเคยขึ้นกรุงศรีอยุธยาให้มาอ่อนน้อมดังแต่ก่อน พระยาไทรบุรี พระยาตรังกานู ยอมอ่อนน้อมโดยดี แต่พระยาปัตตานีขัดแข็ง ไม่มาอ่อนน้อม กรมพระราชวังบวรฯ จึงมีรับสั่งให้กองทัพยกลงไปตีได้เมืองปัตตานี เมื่อตีได้แล้วไม่กล่าวไว้ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่าได้ทรงตั้งให้ผู้ใดว่าราชการเมืองปัตตานีก็จริง แต่เหตุการณ์ที่เกิดภายหลังทำให้เข้าใจว่า ได้ทรงตั้งให้แขกซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พระยาปัตตานีเดิมเป็นผู้ว่าราชการเมืองปัตตานี พระยาปัตตานีคนนี้ไม่ซื่อตรงต่อกรุงเทพฯ เมื่อปีระกา เอกศก พ.ศ. ๒๓๓๒ มีหนังสือไปชวนอาเซียงสือ เจ้าอนัมก๊กให้เป็นใจเข้ากันมาตีหัวเมืองในพระราชอาณาจักร อาเซียงสือบอกความเข้ามากราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ต้องยกกองทัพลงไปตีเมืองปัตตานีอีกครั้งหนึ่ง ที่ตั้งไทยเป็นผู้ว่าราชการเมืองปัตตานีตามที่กล่าวในหนังสือของพระยาวิเชียรคิรีเห็นจะตั้งเมื่อตีเมืองปัตตานีได้ครั้งที่ ๒ นี้ ต่อมาในรัชกาลที่ ๒ พม่าคิดจะยกกองทัพเข้ามาตีกรุงสยามอีก พม่าเกลี้ยกล่อมพระยาไทรบุรี พระยาไทรบุรีเอาใจไปเผื่อแผ่พม่าข้าศึก เลยยุยงพวกมลายูเมืองปัตตานีให้เป็นกบฏขึ้นด้วย สาเหตุเนื่องกันดังกล่าวมานี้ จึงได้โปรดให้แยกเมืองปัตตานีเดิมออกเป็นแต่เมืองเล็ก ๆ ๗ เมือง แต่วงศ์วานชื่อเสียงผู้ว่าราชการเมืองทั้ง ๗ ตามที่พระยาวิเชียรคิรีจดไว้ในพงศาวดารนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าถูกต้อง ด้วยเมืองสงขลาได้กำกับว่ามณฑลปัตตานี ตลอดมาจนจัดตั้งมณฑลปัตตานีเป็นมณฑลเทศาภิบาล ๑ ต่างหากในรัชกาลที่ ๕ เมื่อปีมะเมียอัฐศก พ.ศ. ๒๔๔๙”

        พงศาวดารเมืองปัตตานีแม้เป็นหลักฐานเอกสารที่เป็นพงศาวดาร แต่ก็เป็นหลักฐานที่มีประโยชน์ยิ่งต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีในช่วงระยะเวลาดังกล่าว พงศาวดารนี้จึงเป็นที่สนใจของนักวิชาการมากฉบับหนึ่ง (พรศักดิ์ พรหมแก้ว)

ดูเพิ่มเติม ตำนานเมืองปัตตานี : ฉบับอิบรอฮิม ชุกรี

ชื่อคำ : พงศาวดารเมืองปัตตานี
หมวดหมู่หลัก : โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และการเมืองการปกครอง
หมวดหมู่ย่อย : ตำนาน พงศาวดาร
ชื่อผู้แต่ง : พรศักดิ์ พรหมแก้ว
เล่มที่ : ๑๐