พงศาวดารเมืองพัทลุง

       พงศาวดารเมืองพัทลุง เป็นวรรณกรรมประวัติศาสตร์และตำนานบอกเล่าความเป็นมาของเมืองพัทลุง มี ๒ ฉบับ ฉบับแรกคือพงศาวดารเมืองพัทลุงที่จัดไว้ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๕๓ ซึ่งรวมพงศาวดาร ๓ เมือง คือ พัทลุง นครศรีธรรมราช และสงขลา พระยาสวัสดิ์คีรีได้บันทึกไว้ว่าท่านได้ต้นฉบับมาจากพระยารัตตัญญู (สว่าง ณ พัทลุง) แต่เมื่อยังเป็นหลวงบุรีบริบาล ผู้พิพากษาศาลเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาได้มอบต้นฉบับพงศาวดารเมืองพัทลุงให้แก่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้แต่งคือหมื่นสนิทภิรมย์ (นิ่ม) ปลัดกรมในกรมหมื่นไกรสรวิชิต แต่งเมื่อจุลศักราช ๑๒๑๒ (พ.ศ.๒๓๙๓) โดยแต่งเป็นร้อยแก้ว แต่ไม่เป็นที่แพร่หลายเนื่องจากขาดความพิสดาร มีความโดยย่อว่า “เมืองพัทลุงในสมัยอยุธยาตอนปลาย ได้โปรดเกล้าฯ ให้มะระหุ่มเป็นพระยาแก้วโกรพฯ ผู้ว่าราชการเมืองพัทลุง ตั้งเมืองที่เขาชัยบุรี (ตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) ได้ ๑๕ ปี ก็ถึงแก่กรรม ตะตาบุตรมะระหุ่มได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุง ๑๔ ปี ถึงแก่กรรม พระภักดีเสนาบุตรพี่ชายตะตาเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ๑๕ ปี ถึงแก่กรรม เมื่อเจ้านครตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ส่งหลานชายมาปกครองเมืองพัทลุงตั้งเมืองที่ท่าเสม็ด (อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช) ได้ ๒ ปี ถึงแก่กรรม เจ้านครจึงให้พระยาพิมลขันธ์เมืองถลางมาเป็นเจ้าเมืองพัทลุงตั้งเมืองที่ตำบลพญาขัน (อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) ว่าราชการ ๓ ปี ออกจากราชการ โปรดเกล้าฯ ให้นายจันทร์มหาดเล็กเป็นพระยาพัทลุง ตั้งเมืองที่บ้านม่วง (ตำบลพยาขันธ์ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) ๒ ปี ออกจากราชการ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้นายขุนบุตรพระยาราชบังสัน (ตะตา) เป็นเจ้าเมืองพัทลุง ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “ขุนคางเหล็ก” ตั้งเมืองที่ตำบลลำปำ (อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) ว่าราชการ ๑๓ ปี ถึงแก่กรรม รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้พระศรีไกรลาสเป็นเจ้าเมืองพัทลุง พ.ศ. ๒๓๓๔ แขกเมืองเซียะกบฏยกมาตีเมืองสงขลา เจ้าเมืองสงขลาก็หนีมาพัทลุง พระศรีไกรลาศตกใจกลัวพาครอบครัวหลบหนีเข้าป่า รัชกาลที่ ๒ โปรดให้คุมตัวเข้ากรุงเทพฯ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้นายทองขาวบุตรขุนคางเหล็กเป็นพระยาพัทลุง ว่าราชการอยู่ ๑๘ ปี ถึงแก่กรรม โปรดเกล้าฯ ให้นายเผือกน้องชายขุนคางเหล็ก เป็นพระยาพัทลุงว่าราชการ ๙ ปี ออกจากราชการ โปรดเกล้าฯ ให้พระเสน่หามนตรี (ใหญ่) บุตรเจ้าพระยา (น้อย) เป็นพระยาพัทลุง ว่าราชการ ๑๔ ปี มีความผิด จึงกลับเข้าไปรับราชการในกรุงเทพฯ โปรดเกล้าฯ ให้ปลัดจุ้ยเป็นพระยาพัทลุง ตั้งเมือที่ตำบลลำปำ ว่าราชการ ๑๐ ปี ถึงแก่กรรม โปรดเกล้าฯ ให้หลวงเทพภักดียกกระบัตร (ทับ) เป็นพระยาพัทลุง”

       ตัวอย่างความในพงศาวดารเมืองพัทลุงฉบับหมื่นสนิทภิรมย์ (นิ่ม)

       กล่าวถึงเมืองพัทลุงในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยาตอนหนึ่งว่า

        ครั้นมาถึงในแผ่นดินสมเด็จพระบรมโกษ พระเจ้าแผ่นดินที่ ๓๒ (กรุงเก่า) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชบังสัน (ตะตา) บุตร แต่บุตรชายตาตุมรหุ่มซึ่งรับราชการอยู่ในกรุงเวลานั้นออกมาเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง พระยาราชบังสัน (ตะตา) ได้มาจัดตั้งเมือง ก่อป้อมกำแพง จัดแจงสร้างบ้านเมืองอยู่ที่เขาพิไชยบุรี และได้ถวายดอกไม้เงินทองทุกปีมา พระยาราชบังสัน (ตะตา) ว่าราชการเมืองอยู่ ๑๗ ปี ถึงอนิจกรรม แล้วพระยาภักดีเสนา บุตรของพี่ชายพระยาราชบังสัน (ตะตา) ได้เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง ต่อมาอีก ๕ ปี ก็ถึงแก่กรรม ในครั้งนั้นก็พอทางกรุงศรีอยุธยาเกิดจลาจลขึ้นด้วยพะม่าข้าศึก ส่วนทางเมืองนครศรีธรรมราชก็ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้า และได้ใช้หลานชายมาว่าราชการเมืองพัทลุง ตั้งเมืองที่ตำบลท่าเสม็ด อีกนัยหนึ่งเรียกว่าตำบลปราณ

       กล่าวถึงพระยาพัทลุง (ขุน) ซึ่งชาวบ้านนิยมเรียกว่า “พระยาคางเหล็ก” หรือ “ขุนคางเหล็ก” ตอนหนึ่งว่า

        มีผู้เล่าว่า เหตุที่เรียกพระยาพัทลุง (ขุน) ว่าพระยาคางเหล็กนั้น มีเรื่องว่า เมื่อครั้งพระเจ้าตาก (สิน) เสียพระสติรับสั่งถามข้าราชการว่า กูจะขึ้นสวรรค์ใครจะตามกูไปด้วยบ้าง พวกขุนนางทั้งปวงต่างพากันนิ่งอยู่ พระยาพัทลุง (ขุน) จึงกราบถวายบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าบุญบารมีน้อย เหลือนิสสัยที่จะตามเสด็จขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นได้ ต่อเมื่อสิ้นชีวิตแล้วจึงจะตามเสด็จไปทีหลัง พระเจ้าตากโปรดมาก รับสั่งว่าพูดถูก คนอื่นไม่มีบุญญาธิการเหมือนพระองค์ เพราะปากแข็งกล้าทูลเถียงดังนี้จึงได้นามว่าคางเหล็ก

       ส่วนพงศาวดารเมืองพัทลุงฉบับที่ ๒ ซึ่งเป็นฉบับที่รู้จักกันแพร่หลาย มีการนำมาอ้างอิงหรือใช้เป็นข้อมูลในการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีท้องถิ่นเป็นอย่างมาก คือ พงศาวดารเมืองพัทลุงที่จัดไว้ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๕ ได้จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ และได้จัดพิมพ์ต่อมาอีกหลายครั้งผู้แต่งคือ หลวงศรีวรวัตร (พิณ จันทโรจวงศ์) แต่งเป็นร้อยแก้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ เพื่อนำถวายสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดังที่กรมศิลปากรได้เขียนไว้ในคำนำเมื่อจัดพิมพ์พงศาวดารฉบับนี้ใน พ.ศ. ๒๔๘๑ ว่า “พงศาวดารพัทลุงนี้หลวงศรีวรวัตร (พิณ จันทโรจวงศ์) เรียบเรียงแล้วนำถวายสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเมื่อขอประทานกระแสพระอธิบายตามสมควร สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ทรงพระกรุณาแนะนำ” ซึ่งปรากฏตามลายพระหัตถ์ (ฉบับที่ ๑ วันที่ ๑๖ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๐) ตอนหนึ่งว่า หนังสือพงศาวดารเมืองพัทลุงของหลวงศรีวรวัตร เมื่อได้อ่านตรวจดูตลอดแล้ว ข้อที่ชอบใจมีมาก แต่เห็นไม่เป็นประโยชน์แก่หนังสือที่กล่าวว่าส่วนชมในจดหมายฉบับนี้ ที่จะเป็นประโยชน์จริงต้องติ เพราะจะได้แก้ไขปรับปรุงหนังสือนั้นให้ยิ่งขึ้นไปอีก เรื่องพงศาวดารเมืองพัทลุง ว่าที่แท้เป็น ๓ ตอน คือที่ ๑ ตอนดึกดำบรรพ์ ความตอนนี้เป็นแต่เรื่องเล่ากันมาเกือบจะไม่มีสาระในทางพงศาวดาร เช่น เรื่องนางเลือดขาวนั้น แต่จะทิ้งเสียทีเดียวก็ไม่ได้ ตอนที่ ๒ เรื่องครั้งกรุงเก่า มีหลักฐานที่จะสืบสวนได้บ้าง พอรู้เป็นกระท่อนกระแท่น นับว่ามีสาระในพงศาวดาร ตอนที่ ๓ ตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรีมาจนกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนนี้เป็นพงศาวดารแท้ด้วยมีหลักฐานวันคืนมั่นคง

       พงศาวดารเมืองพัทลุง ฉบับหลวงศรีวรวัตร แบ่งเนื้อเรื่องออกเป็น ๖ ตอน คือ ตอนที่ ๑ สมัยดึกดำบรรพ์ ตอนที่ ๒ สมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนที่ ๓ สมัยกรุงธนบุรี ตอนที่ ๔ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนที่ ๕ สมัยเปลี่ยนการปกครอง ปกครองโดยรัฐธรรมนูญ ตอนที่ ๖ วิธีการปกครองบ้านเมืองในสมัยก่อน มีเนื้อเรื่องโดยย่อว่า “เมืองพัทลุงได้ตั้งมาก่อน พ.ศ. ๑๔๘๐ หรือราว ๑,๐๐๐ ปีมาแล้ว เมืองตั้งอยู่ที่จะทิงพระ (อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา) ครั้งนั้นทางปละท่าตะวันตกของทะเลสาบที่บ้านพระเกิด (ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง) เป็นที่อยู่ของตาสามโมยายเพชรสองผัวเมีย ซึ่งเป็นหมอสะดำจับช้างส่งให้เจ้าพระยากรุงทองเจ้าเมืองสะทิงพระปีละ ๑ เชือก ตายายทั้งสองได้กุมารและกุมารีจากหน่อไม้ไผ่ ให้ชื่อว่า กุมารและนางเลือดขาว เมื่อกุมารทั้งสองเจริญวัยก็ให้แต่งงานอยู่กินด้วยกัน ครั้นตายายทั้งสองถึงแก่กรรมกุมารและนางเลือดขาวได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านบางแก้ว (ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง) ตั้งแต่นั้นมาจึงเรียกว่าพระยากุมาร พระยากุมารกับนางเลือดขาวได้เดินทางไปยังลังกาและได้สร้างวัดพระงาม วัดพระพุทธสิหิงค์ ที่เมืองตรัง และทั้งสองได้เดินทางไปเมืองนครศรีธรรมราช ได้สร้างพระพุทธรูปไว้หลายตำบล ข่าวนางเลือดขาวลือไปถึงสุโขทัย จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพิษณุโลกและนางทองจันทร์ออกมารับนางเลือดขาวไปเป็นมเหสี แต่นางมีครรภ์มาก่อนแล้วจังไม่ได้ยกเป็นมเหสี จนนางคลอดบุตรพระเจ้ากรุงสุโขทัยทรงขอบุตรนางไว้ แล้วส่งนางเลือดขาวกลับมาอยู่กับพระยากุมารตามเดิม จนทั้งสองอายุได้ประมาณ ๗๐ ปี ก็ถึงอนิจกรรม ส่วนบุตรของนางก็ได้กลับมาเป็นคหบดีอยู่ที่บ้านพระเกิด เมืองพัทลุง ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า “เจ้าฟ้าคอลาย” เพราะเข้าใจว่าเป็นพระราชบุตรของพระเจ้าแผ่นดิน

       สมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๐๕๗ พระยาธรรมรังคัลเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ตั้งเมืองที่สทิงพระ พระยาธรรมรังคัลได้นิมนต์พระมหาอโนมทัสสีไปเชิญพระบรมสารีริกธาตุ สร้างโบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ และก่อกำแพงสูง ๖ ศอก ณ เชิงเขาพิพัทสิงห์ เรียกว่า “วัดหลวง” ในแผ่นดินพระมหาจักรพรรดิสามีอินชาวบ้านสทัง (อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง) ได้ไปอุปสมบทที่เมืองนครศรีธรรมราชแล้วเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา ได้มีโอกาสอาสาสู้ศึกพม่าที่เข้ามาล้อมกรุงใน พ.ศ. ๒๐๙๑ โดยพระสามีอินได้ขอม้าขาวกับคน ๕๐๐ คน บวชเป็นชีปะขาวออกทำเวทมนตร์จนข้าศึกมีความกลัวและหนีกลับไป พระสามีอินมีความชอบได้นำกระบวนบูรณะวัดเขียนบางแก้ว วัดสทัง (อำเภอชัยสน จังหวัดพัทลุง) ขึ้นถวายที่กัลปนาวัด และโปรดเกล้าฯ ให้พระสามีอินเป็นพระครูอินทโมฬีนันทราชฯ คณะป่าแก้วหัวเมืองพัทลุง ทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบแผดงศรีภิรมย์เห็นว่าบนเขาพิพัทสิงห์มีรอยพระพุทธบาทจึงได้ขอต่อพระนาไลมุย ทำพระวิหารและก่อรูปพระโคะขึ้น จึงเรียกเขาพะโคะตั้งแต่นั้นมา (วัดพะโคะหรือวัดราชประดิษฐาน ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา) ต่อมาพระสามีรามได้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุไว้บนเขาพะโคะ สูง ๑ เส้น ๕ วา มีพระระเบียงรอบพระเจดีย์ ทำศาลา วิหาร อุโบสถ และพระสามีรามยังได้ร่วมมือกับพระเถรอีกหลายรูป เช่น พระครูธรรมรังสี พระมหาเถรพุทธรักขิต ไปสร้างวัดไว้ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ (วัดคูหาสวรรค์ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) ได้สร้างพระพุทธรูปไว้ ๒๐ องค์ และเจดีย์ ๗ องค์ แล้วถวายเป็นพระราชกุศลยกที่เป็นกัลปนาทั้ง ๑๒ หัวงาน ต่อมาออกพระสุรัสราชาเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ได้นิมนต์พระมหาเถรให้สร้างเจดีย์พระมหาธาตุ สูง ๑ เส้น ๑ วา และสร้างพระวิหารพระธรรมศาลา พระพุทธรูปไว้กลางเมืองพัทลุง สมัยออกหลวงเยาวราชเป็นเจ้าเมืองพัทลุง อาเจะอารูยกพวกมาปล้นเมืองกวาดต้อนราษฎร ออกหลวงเยาวราชกลัวความผิดจึงกินยาตาย ทางกรุงศรีอยุธยาได้แต่ตัวขุนศรีชนปลัดเมืองไปจำขังไว้ที่กรุงศรีอยุธยาและได้รับอภัยโทษภายหลัง สมัยออกเมืองคำเป็นเจ้าเมืองพัทลุงอุชงตน (อุยงตะนะ) ยกพวกมาปล้นเมืองพัทลุง ออกเมืองคำหนีรอดไปได้ แต่ไม่ทรงเอาโทษเพราะศึกครั้งนี้เกินกำลังเมืองพัทลุงจะทัดทาน จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองต่อไป สมัยออกขุนเทพตำรวจเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองคนสุดท้ายที่ตั้งเมืองอยู่ที่สทิงพระ และได้บูรณะวัดวาอารามต่าง ๆ ทั้งสองฝั่งของทะเลสาบเป็นจำนวนมาก ต่อมาตาตุมะระหุ่มเป็นเจ้าเมืองพัทลุง โดยย้ายเมืองไปตั้งที่หัวเขาแดง (อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา) ครั้นต่อมาเฟรีชีชาวบ้านนางหลง (อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง) เป็นเจ้าเมืองพัทลุงได้ย้ายเมืองไปตั้งที่เขาชัยบุรี (ตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) และมีเจ้าเมืองปกครองต่อ ๆ มาคือ ขุนศรีสาคร พระจักรี (เป็นออกญาเมืองนครและเจ้าเมืองไชยา) หลวงเพชรกำแหง หลวงไชยราชาราชสงคราม ครั้นถึงแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ. ๒๒๙๑ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชบังสัน (ตะตา) เป็นเจ้าเมืองพัทลุง สมัยนี้เมืองพัทลุงมีเมืองขึ้น ๔ เมือง คือ เมืองปะเหลียน เมืองจะนะ เมืองเทพา เมืองสงขลา ต่อมาพระภักดีเสนาเป็นเจ้าเมืองพัทลุง และได้เข้าไปถึงแก่กรรมที่กรุงศรีอยุธยาในราชการสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐

       สมัยกรุงธนบุรี เมื่อเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชถึงแก่กรรม พระปลัดจึงตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองเป็นชุมนุมเจ้านครในสมัยนั้น และได้ส่งหลานชายมาเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ตั้งเมืองที่ท่าเสม็ดหรือตำบลปราณ (อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช) ๒ ปี ถึงแก่กรรม เจ้านครให้พระยาพิมลขันธ์ สามีท้าวเทพกระษัตรีเมืองถลาง มาเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ตั้งเมืองที่ตำบลควนมะพร้าว (อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) พ.ศ. ๒๓๑๒ พระเจ้าตากลงมาตีชุมนุมเจ้านครได้ พระยาพิมลขันธ์หนีไปเมืองปัตตานีพร้อมด้วยเจ้านคร ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้นายจันทร์มหาดเล็กมาเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ตั้งเมืองที่บ้านม่วง (ตำบลพยาขันธ์ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) อยู่ ๓ ปี ก็ถูกถอดออกจากราชการ พ.ศ. ๒๓๑๕ โปรดเกล้าฯ ให้นายขุนบุตรพระยาราชบังสัน (ตะตา) เป็นพระยาแก้วเการพพิไชยฯ มาเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ตั้งเมืองที่บ้านโคกลุง (ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) ครั้งนั้นเมืองพัทลุงถูกเมืองนครฯ สั่งให้ทอผ้าม่วงจำนวน ๕๐๐ ผืน จึงต้องเกณฑ์ผู้คนมากันทั้งกลางวันกลางคืนดังความในพงศาวดารว่า อยู่มาในปีมะแมหรือปีวอกเดือน ๕ พระเจ้านราสุริยวงศ์สั่งให้เมืองพัทลุงทอผ้าม่วงดอก ๗ สี เก็บหน้าเชิงกรวย ๕๐๐ ผืน คราวนั้นต้องเกณฑ์ผู้หญิงแก่แม่หม้ายทอผ้าทั้งกลางวันกลางคืน

       สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้เมืองพัทลุงเป็นหัวเมืองชั้นโท และขึ้นกับกรมกลาโหม ใน พ.ศ. ๒๓๒๘ พม่ายกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ตั้งแต่เมืองชุมพร เมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราช และเมืองพัทลุง ทางเมืองพัทลุงโดยการนำของพระยาพัทลุง (ขุน) และพระมหาช่วยแห่งวัดป่าเลไลยก์ (ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) ได้รวบรวมผู้คนไปต้านศึกพม่าที่ตำบลปันแต (อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง) ดังความในพงศาวดารวา ฝ่ายพระยาพัทลุง (คางเหล็ก) กับพระมหาช่วยวัดป่าเมืองพัทลุง ผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์ ลงเลขยันต์ตะกรุด ผ้าประเจียด ให้พวกพลแต่งทัพออกรับพม่าที่ตำบลคลองท่าเสม็ด พม่าได้มาตั้งค่ายประชิดเข้าแล้วคนละฟากคลองแต่หาได้รบกันไม่ พม่าเลิกทัพกลับไปเสียเอง กรมพระยาราชวังบวร ณ เมืองสงขลา กราบทูลความชอบของพระมหาช่วย จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหาช่วยลาอุปสมบท แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาทุกขราษฎร์ ผู้ช่วยราชการเมืองพัทลุง ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีไกรลาศออกมาเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ตั้งเมืองที่บ้านศาลาโต๊ะวัก (ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) จนถึง พ.ศ. ๒๓๓๔ โปรดเกล้าฯ ให้นายทองขาวเป็นพระยาแก้วโกรพพิชัย เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง ได้ย้ายเมืองไปตั้งที่ฝั่งซ้ายของคลองลำปำ (บ้านสวนดอกไม้ หรือวังสวนดอกไม้ ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) เมื่อย้ายเมืองพัทลุงมาอยู่ที่ฝั่งซ้ายลองลำปำได้มีเจ้าเมืองปกครองติดต่อกันมาอีกหลายท่านและมีการย้ายที่ว่าราชการเมือง (จวนหรือวัง) อีกหลายครั้งแต่อยู่ในบริเวณเดียวกันของบ้านลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เมื่อพระยาพัทลุง (ทองขาว) ถึงแก่กรรมใน พ.ศ. ๒๓๖๐ พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุง (เผือก) มาเป็นเจ้าเมืองพัทลุง จนถึง พ.ศ. ๒๓๖๙ พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุง (เผือก) เข้าไปรับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ และโปรดเกล้าฯ ให้พระเสน่หามนตรี (น้อยใหญ่) บุตรคนโตของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เป็นพระอุทัยธรรมเจ้าเมืองพัทลุง ถึง พ.ศ. ๒๓๘๒ ก็โปรดเกล้าฯ ให้เรียกตัวเข้าไปรับราชการในกรุงเทพฯ และโปรดเกล้าฯ ให้ปลัด (จุ้ย) เป้นพระยาอภัยบริรักษ์จักรวิชิตฯ เจ้าเมืองพัทลุง จนถึง พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ก็โปรดเกล้าฯ ให้หลวงยกกระบัตร (ทับ) บุตรพระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นพระยาอภัยบริรักษ์จักรวิชิตฯ ผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง พระยาพัทลุง (ทับ) ถึงแก่กรรมใน พ.ศ. ๒๔๑๐ รัชกาลที่ ๔ มีพระประสงค์จะให้พระวรนาถสัมพันธ์พงษ์ (น้อย) เจ้าเมืองปะเหลียน (อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง) มาเป็นเจ้าเมืองพัทลุง แต่ยังไม่ทันโปรดเกล้าฯ ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน จึงมีท้องตรามาให้พระวรนารถสัมพันธ์พงษ์ (น้อย) รั้งเมืองพัทลุงหรือรักษาราชการเมืองพัทลุง ครั้นพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ ๕ แล้วก็โปรดเกล้าฯ ให้พระวรนารถสัมพันธ์พงษ์ (น้อย) เป็นพระยาอภัยบริรักษ์จักราวิชิตฯ ผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง พระยาพัทลุง (น้อย) สร้างที่พำนักซึ่งไว้เป็นที่ว่าราชการขึ้นหาถัดจากจวนพระยาพัทลุง (ทองขาว) ไปทางทิศตะวันตก ซึ่งปัจจุบันเรียกกันทั่วไปว่า “วังเก่า” (ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) พระยาพัทลุง (น้อย) ว่าราชการอยู่ ๑๙ ปี ถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ มีความชราและทุพพลภาพจักษุมืดมัวแลไม่เห็นทั้งสองข้าง จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงจักรานุชิต (เนตร) บุตรชายคนโต ซึ่งเป็นผู้ช่วยราชการเมืองพัทลุงอยู่นั้นเป็นพระยาอภัยบริรักษ์จักราวิชิตฯ ผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุงคนต่อมา พระยาอภัยบริรักษ์ (เนตร) สร้างที่พำนักขึ้นในบริเวณเดียวกับ “วังเก่า” ของบิดา ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “วังใหม่” (ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง) เพราะสร้างขึ้นทีหลัง “วังเก่า” พระยาอภัยบริรักษ์ (เนตร) ว่าราชการมา ๘ ปี ถึง พ.ศ. ๒๔๓๘ โปรดเกล้าฯ ให้พระวิจิตรวรสาสน์ (เจ้าพระยายมราช ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงพิเศษออกมาจัดราชการตามแบบการปกครองสมัยใหม่ (การปฏิรูปการปกครองหัวเมืองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๓๕ ในสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แบ่งการปกครองเป็นระบบหน่วยย่อย คือ หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เมือง และมณฑล ขึ้นไปตามลำดับ) จนถึง พ.ศ. ๒๔๖๗ จึงย้ายเมืองหรือที่ตั้งจังหวัดพัทลุงจากตำบลลำปำไปตั้งที่บ้านวังเนียง ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง มาจนถึงปัจจุบัน ดังความในพงศาวดารว่า  ปี พ.ศ.๒๔๖๗ มีพระบรมราชานุญาตโปรดเกล้าฯ ให้ยกศาลากลางจังหวัดพัทลุงขึ้นมาตั้งที่บ้านวังเนียง ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอคูหาสวรรค์ พระคณาศัยสุนทร ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ลงมือซื้อที่ดินและรื้อถอนสถานที่ราชการจังหวัดเก่า ไปปลูกสร้างสถานที่ราชการใหม่ในปีนั้น พงศาวดารเมืองพัทลุงฉบับหลวงศรีวรวัตรได้กล่าวถึงการเปลี่ยนการปกครองราชอาณาจักรด้วยระบอบรัฐธรรมนูญและตอนสุดท้ายคือตอนที่ ๖ กล่าวถึงวิธีการปกครองบ้านเมืองในสมัยก่อน ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตัวอย่างเช่น “ในสมัยราวรัชกาลที่ ๑ เจ้าเมืองมียศชั้นพระยาพานทองมีอำนาจเป็นแม่ทัพประจำตัวเสมอ สั่งประหารชีวิตคนได้ และได้กระทำมาแล้วหลายเจ้าเมือง เจ้าเมืองมีกรมการผู้ใหญ่ตั้งแต่ออกมาแต่กรุง (หรือข้าราชการชั้นสัญญาบัตร) เป็นผู้ช่วย คือ พระปลัด ๑ หลวงยกกระบัตร ๑ หลวงผู้ช่วย ๑ บางคราวก็มี ๓ คนบ้าง กับพระพล จางวางด่าน ๑ หลวงผู้ช่วย มีราชทินนามต่างกันดังนี้ ตำแหน่งเก่า หลวงทุกขราษฎร์ ๑ หลวงสัจจาภักดี ๑ หลวงรองราชมนตรี ๑ หลวงสิทธิศักดิภักดี ๑ หลวงราญอธิราษฎร์ ๑ หลวงรามบริรักษ์ ๑ หลวงมนตรีบริรักษ์ ๑” เป็นต้น

       ตัวอย่างความในพงศาวดารเมืองพัทลุง ฉบับหลวงศรีวรวัตร ซึ่งหลวงศรีวรวัตร (พิณ จันทโรจวงศ์) แต่งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ นั้น ส่วนหนึ่งได้นำเรื่องราวมาจากหนังสือพระกัลปนาวัดหัวเมืองพัทลุงหรือหนังสือเพลาวัดที่สำคัญอย่างน้อย ๒ ฉบับคือ เพลานางเลือดขาวและพระกัลปนาวัดหัวเมืองพัทลุงสมัยอยุธยา เช่น กล่าวถึงพระยากุมารกับนางเลือดขาวมาสร้างบ้านแปลงเมืองที่บ้านบางแก้ว (ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง) ความตอนหนึ่งว่า

        ครั้นกาลล่วงมา กุมารและนางเลือดขาวก็พาสมัครพรรคพวกไปทางทิศอีสานบ้านพระเกิดกุมาร ขึ้นช้างพลายคชวิไชยมลฑล หมอเฒ่าแก่หมั่นคงควาญกับนางเลือดขาวขี่ช้างพังตลับหมอเฒาสีเทพควาญ ครั้นไปถึงที่ซึ่งเป็นชัยภูมิก็ตั้งพักอยู่ ณ บางแก้ว แต่นั้นมาก็เรียกกุมารนั้นว่า พระยา ครั้งนั้นนางเลือดขาวยกเอาทรัพย์สร้รางพระพุทธรูปและอุโบสถไว้ที่ตำบลสทังวัดหนึ่ง

       หรือกล่าวถึงการกัลปนาวัดหัวเมืองพัทลุง สมัยอยุธยาความตอนหนึ่งว่า

        พระสามีอินท์มีความชอบ จึงเอากระบวนวัดและพระพุทธรูปที่ได้เลิกพระศาสนา (คือปฏิสังขรณ์) วัดเขียนบางแก้ว และวัดสทังขึ้นถวาย ขอพระราชทานเบิกญาติโยมสมัครพรรคพวกให้ขึ้นกับวัดทั้งสองนั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระสามีอินท์ เป็นที่พระครูอินทโมฬีศรีนันทราชฉัททันตจุฬามุนีศรีราชปัญญาปรมาจาริยานุชิต พิพิธรัตนราชวรวงศ์พงศ์ภักดีศรีสากยบุตร์อุประดิษเถร คณะป่าแก้วหัวเมืองพัทลุง โปรดให้มีตราพระบรมราชโองการเบิกญาติโยมและไร่นาส่วยสาอากรชาวกุฎีศิลบาลทานพระกัลปนาให้ขาดออกจากส่วนหลวงพระราชทานแก่พระครูอินทโมฬีฯ และห้ามเจ้าเมืองปลัดเมืองกรมการเมืองลูกขุนมูลนายโดยตราพระราชกฤษฎีกาอุทิศไว้ให้เป็นข้าพระทั้งสองอาราม

       พงศาวดารเมืองพัทลุงทั้งฉบับหมื่นสนิทภิรมย์ (นิ่ม) และพงศาวดารเมืองพัทลุงฉบับหลวงศรีวรวัตร นอกจากมีคุณค่าทางการศึกษาประวัติศาสตร์โบราณคดีเมืองพัทลุง หัวเมืองใกล้เคียง และชุมชนรอบลุ่มทะเลสาบสงขลาแล้ว ยังมีคุณค่าในด้านการศึกษาลำดับวงศ์ตระกูลเมืองพัทลุง โดยเฉพาะพงศาวดารเมืองพัทลุงฉบับหมื่นสนิทภิรมย์ (นิ่ม) คุณค่าทางการศึกษาพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม ความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในบริเวณรอบลุ่มทะเลสาบสงขลา คุณค่าทางด้านอักษรศาสตร์ และคติชนวิทยา เป็นต้น พงศาวดารเมืองพัทลุงจึงเป็นวรรณกรรมท้องถิ่นและมรดกวัฒนธรรมที่ควรแก่การศึกษาอีกเรื่องหนึ่ง (พิทยา บุษรารัตน์)


ชื่อคำ : พงศาวดารเมืองพัทลุง
หมวดหมู่หลัก : โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และการเมืองการปกครอง
หมวดหมู่ย่อย : ตำนาน พงศาวดาร
ชื่อผู้แต่ง : พิทยา บุษรารัตน์
เล่มที่ : ๑๐