วัฒนธรรมการใช้ภาษาของกลุ่มชนแต่ละกลุ่ม เกิดจากวัฒนธรรมอื่น ๆ อันเป็นมรดกของกลุ่มชนนั้น ๆ นานาประการ ในขณะเดียวกันวัฒนธรรมการใช้ภาษาที่แสดงออกอย่างเป็นนิสัยของกลุ่มชนก็กลับมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมอื่น ๆ ของสังคมนั้นเกี่ยวเนื่องกันไปประดุจลูกโซ่ เหตุนี้จึงกล่าวกันเป็นคำพังเพยว่า “สำเนียงบอกภาษา กิริยาบอกตระกูล”
สำเนียงพูดของชาวภาคใต้เป็นที่ประจักษ์ของชาวถิ่นอื่นดีว่าห้าวและห้วน ซึ่งตรงกันข้ามกับสำเนียงพูดของชาวภาคเหนือซึ่งนุ่มนวลและเนิบช้า เป็นการยากที่จะตอบว่าเหตุใดจึงเกิดลักษณะเช่นนี้ขึ้น แต่ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้งจะพบว่าปรากฏการณ์ที่แตกต่างกันระหว่าง ๒ ภาคนี้ มิได้เป็นเฉพาะแต่วัฒนธรรมทางภาษาเท่านั้น สภาวะธรรมและวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่เป็นทำนองเดียวกันนี้มีหลายอย่าง เช่น ชาวภาคใต้ส่วนใหญ่ผิวกายจะเข้มกว่าชาวภาคกลาง ส่วนภาคเหนือจะขาวนวลผุดผ่องกว่า อันน่าจะเนื่องแต่ชาติพันธุ์และสภาพดินฟ้าอากาศที่แตกต่างกัน อีกส่วนหนึ่งการดนตรีและนาฏการที่เป็นศิลปะพื้นเมืองของภาคใต้มีลีลาหนักแน่น เฉียบขาด เร่งเร้า ตรงกันข้ามกับของภาคเหนือที่เนิบนาบ นิ่มนวล อ่อนช้อย และอยู่ข้างอ้อยสร้อย ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมการใช้ภาษาของแต่ละภาค วัฒนธรรมการกินของชาวภาคใต้ก็ตรงกันข้ามกับของภาคเหนือ คือชาวภาคใต้นิยมกินของรสจัดกว่า เหล่านี้เป็นต้น
สำเนียงและลีลาการพูด
สำเนียงพูดของภาษาถิ่นใต้ที่ห้าวและห้วนที่เป็นนิสัย เป็นเหตุให้เกิดการปรับแปลงถ้อยคำที่รับมาจากภาษาของชนกลุ่มอื่นที่มีหลายพยางค์ด้วยการรวบรัดพยางค์ให้สั้นเข้า เช่น คำภาษาบาลี สันสกฤต ชเล (ทะเล) เป็น “เล” สบาย เป็น “บาย” สันนิบาต (ชื่อไข้) เป็น “สาดบาด” สมประดี เป็น “สับเดะ” และคำที่ภาษากลางออกเสียงเป็น ๒ พยางค์จำนวนมากที่ภาษาใต้พูดเป็นพยางค์เดียว เช่น มะพร้าว เป็น “พร้าว” มะขาม เป็น “ขาม” สลบ เป็น “หลบ” ขยาย เป็น “หยาย” สลาด (ปลา) เป็น “หลาด” ตลาด เป็น “หลาด” หรือไม่ก็ออกเสียงให้หนักแน่นยิ่งขึ้น เช่น ฉลาด เป็น “ฉ้าหลาด” สบู่ เป็น “ส้าโบ” คำที่รับมาจากภาษาชวามลายูส่วนใหญ่จะรวบพยางค์เข้าพร้อมกับเน้นเสียงให้หนักแน่นยิ่งขึ้น เช่น สลาตัน (selatan) เป็น “หลาตัน” สังขยา (serikaya) เป็น “สังหยา” (ชื่อขนม) ติมา (timba) เป็น “หมา” (ภาชนะตักน้ำ) เป็นต้น
นิสัยการพูดที่ห้าวและห้วน เป็นเหตุให้การพูดจาสนทนาของชาวใต้ขาดหางเสียงที่เสริมแต่งเพื่อให้ฟังไพเราะอ่อนโยนฟังระรื่นหู ทั้งนี้ผู้ใช้มิได้รู้สึกหรือมีเจตนาที่จะแสดงอาการแข็งกระด้างต่อผู้ร่วมสนทนา จึงไม่ค่อยนิยมใช้คำ ครับ ค่ะ ขา จ้ะ จ๋า ในการขานรับ แต่อาจใช้วิธีการพยักหน้ารับหรือรับรู้ด้วยดุษณีภาพ หรือมีคำขานรับที่เป็นภาษาถิ่นของตนบางคำที่เป็นคำรวม ๆ ไม่ได้จำแนกตามฐานะบุคคลให้ละเอียดประณีตอย่างถิ่นอื่น ๆ คำขานรับสำหรับใช้กับบุคคลที่มีฐานะเสมอกันและผู้ที่ต่ำกว่าที่นิยมใช้กันกันมากคือ “เออ” “ฮือ” “ฮึ” ถ้าเป็นคนที่สูงกว่านิยมใช้คำ “ฉาน” “ฉ่าน” ส่วนคำขานรับ ครับ ขอรับ ค่ะขา เป็นคำที่เพิ่งนิยมใช้กันในระยะหลังซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของภาคกลาง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการฝึกอบรมกันในสถานศึกษาหรือในครอบครัวของผู้ดีมีศักดิ์แล้วค่อยขยายกว้างออก คำที่นิยมใช้ประกอบการสนทนากันมาก กลับเป็นคำอุทานประเภทแสดงความฉงน ความแปลกใจ และความพอใจที่เป็นอย่างบริสุทธิ์ใจ เช่น “วะ” “อ้ายหยา” “เหอ” “หา” “ฮะ” นิสัยการใช้คำเช่นนี้ในความรู้สึกของคนถิ่นอื่นที่ไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมการใช้ภาษาถิ่นใต้อาจเห็นเป็นการไม่สำรวมหรือแข็งกระด้างหรือโอหัง ทั้ง ๆ ที่ชาวภาคใต้มิได้มีเจตนาเช่นนั้นแม้แต่น้อย
ค่านิยมการใช้ภาษา
ชาวพื้นเมืองภาคใต้ถือว่าถ้อยคำส่วนใหญ่ ยกเว้นคำดุด่าเป็นคำสุภาพ ใช้ได้เกือบทุกกาลเทศะและกับบุคคลแทบทุกชั้น ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงแต่งเติมให้แตกต่างกันไป กลับเห็นเป็นตรงกันข้ามว่าคนที่ปรุงแต่งถ้อยคำให้อ่อนหวาน อ่อนโยน เป็นคนประจบ เรียกว่าคน “ปากปลิ้น” (ปากหวาน) เป็นคนเสแสร้ง ไม่บริสุทธิ์ใจ คบยาก และถ้าบุคคลใดที่อยู่ในฐานะสูงกว่าถือสาในเรื่องถ้อยคำ ถือกันว่าคนนั้นคือคนหยิ่งยโส ถือตัว เป็นคนคบยากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้การใช้ถ้อยคำของชาวภาคใต้จึงมักไม่ปรุงแต่งเลือกเฟ้น เพื่อแสดงว่าเป็นผู้มีมรรยาทในสังคม ข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ข้าราชการที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นเห็นว่า ชาวภาคใต้พูดจาแข็งกระด้าง หรือพูดจาไม่มีมรรยาท ไม่มีสัมมาวาจา หรือขาดความคารวะ
การจำแนกกลุ่มภาษาสำหรับใช้ต่างกันตามกาละ เทศะ และบุคคลนั้น อันที่จริงในวัฒนธรรมของชาวบ้านก็มีอยู่บ้าง แต่จะไม่ละเอียดเท่าของภาคกลาง กล่าวคือ ภาษาใต้จะจำแนกเป็นกลุ่มสำหรับใช้กับ คนที่เสมอกันและผู้น้อยกลุ่มหนึ่ง สำหรับผู้อาวุโสกว่ากลุ่มหนึ่ง และสำหรับพระภิกษุสามเณรอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ค่อยอาทรถึงเพศที่ต่างกัน การพูดจาสนทนาต่อหน้าหญิงสาวจะแตกต่างกับที่พูดจากับหญิงที่มีสามีแล้ว ในเรื่องเนื้อหาสาระมากกว่าจะต่างกันที่การสรรใช้ถ้อยคำ คำสรรพนามที่ใช้ในภาษาพูดจึงไม่มีมากคำ เช่น คำว่า “แก” อาจใช้เอ่ยแทนได้ทั้งบิดามารดาและผู้ที่เคารพยกย่องทั่ว ๆ ไป หรือใช้คำว่า “เติ้น” หรือ “ต้น” หรือ “ตั้ว” แทนชื่อคลุมกลุ่มบุคคลที่ภาษากลางใช้คุณ ท่าน ฯพณฯ และใช้คำว่า “ท้าว” หรือ “ถ่อ” หรือ “ต้น” แทนพระสงฆ์ ดังนี้เป็นต้น การแสดงคารวะต่อคู่สนทนาที่ต่างฐานะกัน มักแสดงออกด้วยกิริยาท่าทางอื่น ๆ มากกว่าการเลือกใช้ถ้อยคำ
ชาวภาคใต้ถือว่าเมื่อเป็นชาวภาคใต้ด้วยกัน เมื่อพบปะทักทายกัน ถ้าไม่มีคนถิ่นอื่นเกี่ยวข้องด้วยจะต้องใช้ภาษาถิ่น ถ้าใครใช้ภาษากลางถือว่าไม่แสดงถึงความเป็นกันเองเท่าที่ควร และชาวบ้านในชนบทส่วนใหญ่จะรู้สึกเคอะเขิน หรือกระดากอายที่จะพูดภาษากลาง บางคนแม้จะพูดได้ก็ไม่ยอมพูด การที่ชาวไทยมุสลิมไม่พูดภาษาไทยส่วนใหญ่ ก็เป็นด้วยมูลเหตุดังกล่าวนี้ จึงควรเข้าใจว่าที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความรังเกียจเดียดฉันท์แต่ประการใด
ชาวภาคใต้ไม่ชอบให้คนภาคอื่นที่ยังไม่สนิทสนมกันมากพอมาพูดภาษาถิ่นใต้กับตน ถือว่าเป็นการล้อเลียนและดูถูกกัน
ความเชื่อเกี่ยวกับภาษา
ชาวภาคใต้สมัยก่อนถือว่าตัวหนังสือและหนังสือเป็นของสูง ศักดิ์สิทธิ์และขลัง เชื่อว่าถ้าใครเหยียบข้ามจะทำให้เรียนหนังสือไม่จำ วิทยาการที่มีอยู่บ้างก็จะพาลเสื่อมถอย จึงมักบูชาหนังสือเก็บรักษาไว้อย่างดี จะหยิบใช้ก็ต้องกระทำด้วยความคารวะ โดยเฉพาะตัวอักษรขอมถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหตุนี้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายต่อเนื่องมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ นิยมจารหนังสือหรือตำราสำคัญ ๆ เป็นอักษรขอม เช่น เรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนา ตำรากัลปนา เป็นต้น แม้ในหนังสือกลอนสวดที่เกี่ยวกับนิทานก็นิยมเขียนชื่อฉันท์และชื่อกาพย์ด้วยอักษรขอมแทรกสลับไว้ และใช้ตำราเหล่านั้นเป็นเครื่องประกอบในการทำพิธีกรรมสำคัญบางอย่าง เช่น การบูชาครู การทำขวัญ การแก้บน และบางรายก็ใช้หนังสือที่มีตัวอักษรสำหรับแก้โรคบางชนิด
ชาวบ้านส่วนใหญ่เชื่อว่า ความหมายของคำที่เป็นชื่อสิ่งต่าง ๆ ก่อให้เกิดมงคลหรืออัปมงคลได้ เช่น “ไม้ไผ่สีสุก” ถ้าปลูกไว้ในบริเวณบ้านหรือนำไปประกอบพิธีกรรมจะก่อให้เป็นศรีเป็นสุข (คำนึงในแง่ของความเป็นสำคัญ) หรือ “เต่าร้าง” ถ้าปลูกไว้ในบ้านจะทำให้ลาภยศ ทรัพย์สิน ตลอดจนความเจริญอื่น ๆ โรยร้าง ไม้ที่แตกกิ่งแล้วปลายกลับโค้งงอเข้าหากันและเชื่อมติดกันเรียกว่า “ไม้หีบผี” ถ้าเอาไปไว้ที่ประตูบ้านผีจะกลัวไม่กล้าเข้าบ้าน พระนารท ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “พระรอด” ให้นำไปใช้ในคราวที่ต้องการให้รอดพ้นจากภยันตราย แต่ห้ามนำไปใช้เพื่อการแสวงหาโชคลาภ เพราะจะทำให้โชคลาภหลุดลอยไปเสีย ห้ามทำงานมงคลใน “วันดับ” (วันสิ้นเดือนทางจันทรคติ) เพราะจะอับโชคเศร้าหมอง
เชื่อถือกันว่าชนสามัญไม่ควรตั้งชื่อเลียนเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน ชื่อเทพเจ้า หรือพระศาสดา เพราะจะ เป็นอัปมงคลแก่ตนและตระกูล ทั้งนี้ยกเว้นคติชาวไทยมุสลิมที่ตั้งชื่อสำหรับถวายแด่พระศาสดา (ดู ตั้งชื่อ : วัฒนธรรมไทยพุทธ ; ตั้งชื่อ : วัฒนธรรมไทยมุสลิม)
การพูดล้อเลียน
ผู้ชายที่สนิทสนมกันมาก ๆ และเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน มักชอบพูดจาล้อเลียนกัน เรียกการพูดล้อเลียนแบบยกตนข่มท่านว่า “พูดทับ” หรือ “เท้ง” ถ้าล้อเลียนกันอย่างธรรมดาอาจเรียกว่า “กัด” “ขบ” “ถม” การล้อเลียนกันถือเป็นเรื่องสนุกสนานในวงสนทนา เป็นการอวดคารมกัน ไม่ถือโกรธต่อกัน อาจล้อเลียนกันเรื่องบุคลิก การแต่งกาย ความรู้ความสามารถ ญาติพี่น้อง เรื่องครอบครัว ฯลฯ เมื่อว่างการงานอาจจับกลุ่มพูดล้อเลียนกัน ยิ่งคู่ล้อเลียนเป็นผู้ใหญ่และมีตำแหน่งการงานสูงคนฟังก็ยิ่งสนุก และทำให้รู้สึกว่ามีบรรยากาศเป็นกันเองยิ่งขึ้น ในบางท้องถิ่นเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาว่าคนในละแวกนั้นชอบพูดล้อเลียนกันเป็นนิสัย เช่น บ้านสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา จะล้อเลียนแม้กระทั่งกับแขกแปลกหน้าและผู้หลักผู้ใหญ่ และมีการประกวดคารมการ “ทับ” กัน
การเล่นคำผวน
ชาวภาคใต้นิยมเล่นคำผวน ซึ่งเรียกตามภาษาถิ่นว่า “คำหวน” คือการพูดให้ผู้ฟังคิดทวนกลับแล้วมีความหมายเป็นอีกแง่หนึ่ง ซึ่งส่วนมากเมื่อทวนกลับแล้วจะมีความหมายไปในทางหยาบโลน เช่น “ดึงกับแม่ไม้” ผวนคำได้เป็น “ได้กับแม่มึง” หรือไม่ก็แกล้งพูดกลบเกลื่อนด้วยเจตนาให้รู้ เช่น “พระนอนใกล้สากี” ผวนเป็น “พระนอนใกล้สีกา” การพูดคำผวนนิยมพูดตลกคะนองในกลุ่มผู้ที่มีวัยและเพศเดียวกัน หนังตะลุงก็นิยมตลกโดยใช้คำผวน ถือว่าการพูดคำผวนเป็นการฝึกสมองผู้ฟังไปในตัว มีวรรณกรรมท้องถิ่นซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างแพร่หลายว่า ผู้แต่งมีความสามารถในการเล่นคำผวนเป็นเอกและอยู่ข้างจะอุตริ คือเรื่อง “สรรพลี้หวน” หรือ “สรรพบาลีหวน” (ดู สรรพลี้หวน) ที่นำมาผูกเป็นปริศนาคำทาย ผูกเรื่องเป็นเงื่อนงำ ซึ่งผู้ตอบจะเข้าใจก็ต่อเมื่อผวนคำ และมีความเข้าใจวัฒนธรรมบางอย่างก็มี เช่น ทายว่า การเขเรือ (นั่งเรือ) ระหว่างเรือแจวกับเรือหางยาวอันไหนจะ “เขไว” กว่ากัน (คำตอบคือเรือแจว อธิบายว่าเพราะเรือแจวผู้แจวต้องยืน เมื่อยืนแจว อวัยวะส่วนนั้นก็จะ “เว” คือแกว่งไปมามากกว่านั่งโดยสารเรือหางยาว) การเล่นคำผวนที่ค่อนข้างลึกเช่นนี้ถือว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง การตั้งชื่อใด ๆ ชาวภาคใต้จะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ผวนคำแล้วมีความหมายไปในทางไม่ดี หรือแม้แต่การใช้อักษรย่อ ก็พยายามเลี่ยงไม่ให้ดึงไปหาความหมายที่ไม่สุภาพ เหตุนี้คำหาดใหญ่ การรถไฟ จึงต้องใช้อักษรย่อเป็น “ห.ใ.” ซึ่งแปลกกว่าการย่อคำอื่น ๆ เพราะชาวภาคใต้ชอบการผวนและแปลงคำเป็นนิสัย
การสร้างคำประสม
การสร้างคำประสมขึ้นใช้ในภาษาไทย โดยทั่วไปคล้ายกับภาษาถิ่นอื่น ๆ ของไทย แต่มีหลายคำที่สร้างขึ้นโดยยึดพื้นฐานของวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นสำคัญ จึงทำให้เกิดคำเฉพาะถิ่นที่ต่างกับภาษากลาง เช่น กระต่ายขูดมะพร้าว ชาวภาคใต้ไม่นิยมทำแต่เฉพาะรูปกระต่าย อาจทำเป็นรูปสัตว์นานาชนิด แต่ใช้เหล็กสำหรับขูดมะพร้าวเป็นส่วนสำคัญ จึงเรียกว่า “เหล็กขูด” คำว่า “ตะปู” เดิมทีชาวภาคใต้ใช้ทำเรือหรือร้อยต่อไม้เครื่องเรือนแทนเดือยที่ทำด้วยไม้และเรียกส่วนปลายของสิ่งต่าง ๆ ที่โตกว่าส่วนอื่น ๆ ว่าคนจึงเรียกตาปูว่า “เหล็กโคน” ชาวภาคใต้เรียกอาการของวัวที่ร้องเพราะความเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานว่า “วัวร้อง” แต่เนื่องจากชาวภาคใต้นิยมเลี้ยงวัวชนกันมาก และเห็นว่าการที่วัวตัวผู้ที่ส่งเสียงด้วยความคึกคะนอง มีอาการแตกต่างกับการร้องในลักษณะแรก จึงเรียกการร้องในลักษณะหลังว่า “วัวขัน” ทำให้จำแนกลักษณะเพิ่มและแปลกไปจากภาษาถิ่นอื่น ชาวภาคใต้นิยมการอาบน้ำเพียงครึ่งตัว คือถอดเสื้อออกแล้วก้มลำตัวลง ตักน้ำรดอาบเฉพาะส่วนเหนือสะเอวขึ้นไป โดยระวังไม่ให้ผ้านุ่งเปียก เรียกกิริยา เช่นนี้ว่า “รดท่อน” ชาวภาคใต้เรียกการเข้าพิธีแต่งงานของหญิงว่า “ไหว้ผัว” และเรียกของฝ่ายชาย ให้คู่กันว่า “ไหว้เมีย” เรียกหลวงพ่อว่า “พ่อหลวง” เรียกหลวงตาว่า “ตาหลวง” เหล่านี้เป็นต้น คำภาษาถิ่นที่สร้างขึ้นทำนองนี้มีมากมายทุก ๆ ถิ่น ทั้งนี้เพราะมองเห็นจุดเด่นของสิ่งนั้น ๆ แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมที่ต่างกัน ตัวอย่างคำอื่น ๆ เช่น
รายตีน - ถ่ายปัสสาวะ
เหนียวหลาม - ข้ามหลาม
ตาเปียก - ตาแฉะ
ผ้าร้าย - ผ้าขี้ริ้ว
สายเอว - เข็มขัด
ปลาแห้ง - ปลาเค็ม
ครกถีบ - กระเดื่อง
ฝีเทศ - คุดทะราด
ขี้ลม - เมฆ
สายมือ - สร้อยข้อมือ
เหล็กไฟ - ไม้ขีดไฟ
สาวงาม - คางทูม
ฝีในท้อง - วัณโรค
ลูกไฟ - ถ่านไฟฉาย
สายคอ - สร้อยคอ
ไฟแขบ - ไฟฉาย
ครกสี - สี
เขาคัน - เถาคัน
ไขดำ - ไข่เยี่ยวม้า
สายสิง - สายสิญจน์
รีปรีขี้นก หรือ ดีปลีขี้นก - พริกขี้หนู
เสียดพุง - ปวดท้อง
น้ำชุบ - น้ำพริก
ลูกลม - ลิ้นลม, กังหัน
เสื้อย่น - เสื้อยืด
ข้าวเปียก - ข้าวต้ม
ขี้รั่ว - ลงท้อง, ท้องร่วง, ท้องเสีย, ท้องเดิน
น้ำผึ้ง - น้ำตาล
ลูกพระ - พระเครื่อง
แม่เสื้อ - เสื้อนอก
การรับคำภาษาต่างประเทศมาใช้
เนื่องจากภาคใต้มีเขตแดนต่อเนื่องกับประเทศมาเลเซีย และมีสภาพภูมิประเทศคล้ายคลึงกัน มีพืชพันธุ์และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ คล้ายคลึงกัน และก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามาสู่ดินแดนแถบนี้ นับตั้งแต่ภาคใต้ลงไปจรดชวามลายู กลุ่มชนแถบนี้ต่างก็นับถือศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธเช่นเดียวกัน วิถีดำเนินชีวิตต่าง ๆ จึงไม่แตกต่างกันโดยเฉพาะวัฒนธรรมด้านภาษามีการถ่ายเทสู่กันและกันอย่างกว้างขวางและเนิ่นนาน จึงมีคำภาษาชวา-มลายูประสมอยู่ในภาษาถิ่นใต้มากพอกับที่ภาษาไทยเข้าไปประสมอยู่ในภาษาในมาเลเซียตอนเหนือ
เนื่องจากภาคใต้เป็นทางผ่านและเป็นศูนย์กลางของการเดินทางติดต่อ ระหว่างประเทศตะวันตกกับประเทศฝ่ายตะวันออก ประเทศที่เดินทางค้าขายผ่านบริเวณนี้มากที่สุด ได้แก่ อินเดีย อาหรับ เปอร์เซียและจีน โดยเฉพาะอินเดียนอกจากจะเดินทางมาค้าขายแล้ว ยังนำศาสนามาเผยแพร่ในแถบนี้ ต่อเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัยจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีบ่งชัดว่า ศาสนาพราหมณ์เข้ามาสู่ภาคใต้ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐ และเจริญอย่างมากในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ (ดู ศาสนาพราหมณ์ในภาคใต้) และในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน พุทธศาสนานิกายมหายานก็เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้ง ๒ ศาสนานี้ต่างก็ใช้ภาษาสันสกฤต จึงทำให้ภาษาสันสกฤตเข้ามาสู่ภาษาถิ่นใต้อย่างกว้างขวางพร้อมกับวัฒนธรรมด้านอื่น ๆ ที่เนื่องด้วยศาสนาดังกล่าว หลักฐานสำคัญ เช่น ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ซึ่งจารึกโดยกลุ่มชนที่ใช้ภาษาสันสกฤตและนับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายใช้รูปอักษรปัลลวะ ซึ่งประมาณได้ว่าจารึกนี้สร้างขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ซึ่งร่วมสมัยกับจารึกวัดมเหยงคณ์ จารึกวัดพระมหาธาตุฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจารึกเขาพระนารายณ์ จังหวัดพังงา (ดู รายละเอียดเกี่ยวกับศิลาจารึกเหล่านี้ในสารานุกรมชุดนี้)
อินเดียตอนใต้ โดยเฉพาะลังกามีความสัมพันธ์กับชนชาติไทยมาช้านาน ชนชาติทมิฬที่อยู่ในเมืองโจฬะที่เราเรียกว่า พวกสิงหล ได้นำภาษาทมิฬ มาใช้เป็นเหตุให้ภาษาใต้ มีคำภาษาทมิฬปะปนอยู่หลายคำ พบศิลาจารึกภาษาทมิฬในภาคใต้อย่างน้อย ๒ หลัก คือ ศิลาจารึกหลักที่ ๒๖ พบที่เขาพระนารายณ์ ตะกั่วป่า ๑ หลัก จารึกด้วยรูปอักษรปัลลวะเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ และอีกหลักหนึ่งคือศิลาจารึกหลักที่ ๒๙ พบที่วัดพระมหาธาตุฯ นครศรีธรรมราช จารึกบนแผ่นหินอ่อนสีชมพู เป็นรูปอักษรทมิฬ ภาษาทมิฬมีอายุอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ นอกจากนี้ เมื่อภาคใต้ได้สัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับลังกาใน ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ยังได้รับเอาพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้ามา เป็นเหตุให้ภาษาบาลีแพร่หลายอย่าง กว้างขวาง และหลังจากนั้นคัมภีร์ต่าง ๆ ทางพุทธศาสนาได้ใช้ภาษาบาลีเป็นพื้น
ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษาเขมร พบจารึกบนฐานพระพุทธรูปวัดหัวเวียง อำเภอไชยา จังหวัด สุราษฎร์ธานี เป็นจารึกอักษรขอม ภาษาเขมร จารึกเมื่อ พ.ศ.๑๗๒๖ นอกจากนี้พบว่า หนังสือบุดหรือสมุดข่อยที่พบในภาคใต้สมัยกรุงศรีอยุธยา ตลอดมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น นิยมเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาเป็นอักษรขอม และเรื่องที่เกี่ยวกับการกัลปนา มักมีฉบับที่ใช้ภาษาเขมรคู่กับภาษาไทย ทั้งยังพบคำภาษาเขมรจำนวนมากในภาษาถิ่นใต้ทั่วไป และที่เป็นชื่อบ้านนามเมือง
นับตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีจนถึงต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีชาวจีนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในภาคใต้ ทั้งบริเวณฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก จึงเป็นเหตุให้คำภาษาจีนและวัฒนธรรมอื่น ๆ ของจีนเข้ามาปะปนอยู่ในภาคใต้เป็นจำนวนมาก
ส่วนภาษาอื่น ๆ ก็มีอยู่ไม่น้อยแต่ไม่มากเท่าภาษาต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว และจะได้กล่าวถึงเฉพาะภาษาที่สำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้
คำภาษาชวา-มลายู
คำภาษาชวา-มลายู ที่ภาษาถิ่นใต้รับมาใช้มีทั้งที่เป็นภาษาชวา-มลายูดั้งเดิม และคำที่ภาษาชวา- มลายู รับช่วงมาจากภาษาอื่นอีกทีหนึ่ง เช่น
กัด (pukat) อวนขนาดย่อม สำหรับดักปลาน้ำตื้น
กาหยู (kujus) มะม่วงหิมพานต์ (คำนี้เดิมเป็นภาษาโปรตุเกสว่า kajus)
เกาะตะ (kotak) กล่องบุหรี่ของชาวประมงทำด้วยไม้รูปสี่เหลี่ยมมีลิ้นชักออกได้ทั้ง ๒ ข้าง
กริช (keris)
คุณ (guna) คุณไสย เวทมนตร์
ฆง (jagong) ข้าวโพด
จำปาดะ (chempedak) ผลไม้ชนิดหนึ่งในพวกขนุน กลิ่นหอมแรง
จิ้งจัง (ching chang) ปลาตัวเล็ก ๆ หมักเกลือ
โจ (pachau) ยันต์ที่เขียนไว้ตามต้นไม้เพื่อหลอกไม่ให้เด็กเก็บผลไม้กิน
ชันชี (janji) สัญญา ข้อตกลง
ตาหนา (tanda) เครื่องหมาย ตำหนิ หรือเสาที่ปักหมายไว้เหนือหลุมศพไทยมุสลิม
ติหมา (timba) ภาชนะสำหรับตักน้ำ ทำด้วยกาบหมาก หรือใบจาก เป็นต้น
บูดู (budu) น้ำเคยที่ได้จากปลาหมักเกลือ
ปิ้ง (chaping) จะปิ้ง เครื่องสวมปกปิดอวัยวะเพศเด็กหญิง
ผรา (pera) ชั้นหรือหิ้งสำหรับวางของที่อยู่เหนือเตาไฟ
ผ้าปาเต๊ะ (kian batik) ผ้าซึ่งมีลวดลายโดยใช้สีผึ้งเป็นกรรมวิธีพิมพ์ดอก
พรก (poroh) กะลามะพร้าว
พาไล (balai) เรือนที่ต่อจากเรือนใหญ่
มังคุด (manggustan)
มายา (bayur) ปุ๋ย
มูสัง (musang) อีเห็น, ชะมด
ย่านหนัด (nanas) สับปะรด
ราจุน (rachun) วางยาเบื่อ
ละไม (rambai) มะไฟเปลือกเหลือง
ลังสาด (langsat) ลางสาด
ลาต้า (latah) บ้าจี้
ลาไล (lalai) อาการเผอเรอ ขี้หลงขี้ลืม
สวา (sawa) ละมุดฝรั่ง
สาคู (sago)
หยบ (lenyap) หลบซ่อน
หลุด (selut) โคลนตม
หวาก (tuak) กะแช่หรือน้ำตาลเมา
หว้า (tuah) จังหวะดี ความมีโชควาสนา
โหฺมฺระ (makroh) น่าเกลียด ไม่เหมาะสม ไม่สวยงาม
โหฺละ (suloh) การใช้ไฟส่องหาปลาที่น้ำตื้นหรือที่น้ำใส หรือส่องหากบหรือนก
คำภาษาสันสกฤต
ได้กล่าวแล้วว่าภาษาสันสกฤตเข้ามาสู่ภาษาใต้พร้อมกับศาสนาพราหมณ์ และพุทธศาสนานิกายมหายาน แต่เนื่องจากภาษาสันสกฤตอยู่ในตระกูลภาษามีวิภัตติปัจจัย เป็นคนละตระกูลกับภาษาไทยระบบเสียง โครงสร้างของคำ และไวยากรณ์ แตกต่างกับภาษาไทย ดังนั้นเมื่อเข้ามาสู่ภาษาใต้ จึงรับมาเฉพาะคำศัพท์และมักเกิดการเปลี่ยนเสียงและรูปศัพท์ไปตามธรรมชาติของภาษาถิ่นใต้ บางคำห่างไกลไปจากคำเดิมเป็นอย่างมากความหมายก็แตกต่างกันแต่มีเค้าเดิมอยู่ คำส่วนใหญ่ที่รับมาเป็นคำสอนตามหลักศาสนา ชื่อศาสนวัตถุ และลัทธิประเพณี อันเนื่องแต่ศาสนานั้น เช่น
สฺวสฺติ (คำนี้พบที่เป็นหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔) ภาษาใต้ทั่วไปใช้เป็น “สัดดี” เช่น ไหว้สัดดี สวดสัดดี มีสัดดีใหญ่ สัดดีเล็ก ใช้สวดเพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลแก่ตน (ดู ไหว้สัดดี)
ปุสฺต หรือปุสฺตก ภาษาเดิมแปลว่า หนังสือ ลิขิต เปลือกไม้ ภาษาใต้เป็น “บุด” เรียกสมุดข่อย เช่น บุดดำ บุดขาว (ดู วรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้)
ศมฺศาน (สุสาน) ภาษาใต้เป็น “สามส้าง” เรียกชื่อที่เผาศพที่จัดทำขึ้นชั่วคราว (ดู สามส้าง)
ภาร ภาษาใต้เป็น “ภารา” เป็นมาตราน้ำหนัก (คำนี้ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๕ จารึกที่ฐานพระพุทธรูปจากวัดเวียง ไชยา ซึ่งจารึกในปีมหาศักราช ๑๑๐๕ หรือ พ.ศ.๑๗๒๖ เป็นจารึกภาษาเขมร) คำว่า ภาร ภาษาสันสกฤตแปลว่า น้ำหนัก หรือของมีน้ำหนัก และเป็นมาตราวัดของบาลี (ดู ภารา)
ปารฺถิว ภาษาใต้เป็น “บริถิว” หรือ “บอริถิว” หมายถึง ผู้รักษาโลก คือโลกบาล หรือ ชคตบดี
กาล และกาลี ภาษาใต้เป็น “กาหลา กาหลี” เป็นชื่อเจ้าป่าช้า บางทีเรียกสับเพศกันเป็น “ยายกาหลา ตากาหลี”
ตามฺร (แดง) ภาษาใต้ “ดาม” ใช้ในคำว่า “ตั้งดาม” หรือ “หวันตั้งดาม” หมายถึงตอนพระอาทิตย์เริ่มแตกแสงทองหรือก่อนตะวันขึ้น
ตัวอย่างคำภาษาสันสกฤตที่พบในศิลาจารึกในภาคใต้ที่เป็นวิสามานยนาม เช่น
ตามฺพรลิงฺค คือ ตามพรลิงค์ (หลักที่ ๒๔)
จนฺทรภานุ คือ จันทรภาณู (หลักที่ ๒๔)
ศฺรีธรฺมมราชา คือ ศรีธรรมราชา (หลักที่ ๒๔)
ปตฺมวํส คือ ปทุมวงศ์ (หลักที่ ๒๔)
ไศเลนฺทฺรวงฺศ คือ ไศเลนทรวงศ์ (หลักที่ ๒๓)
ศฺรีวิชเยศฺวร คือ ศรีวิชเยศวร์ (หลักที่ ๒๓)
สถวีร คือ สถวีระ (หลักที่ ๒๓)
คำภาษาบาลี
ภาษาบาลีในภาคใต้พบมากทั้งในภาษาพูด และในวรรณกรรมท้องถิ่นที่เนื่องด้วยพุทธศาสนา แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าส่วนมากใช้ตัวอักษรขอม ในภาษาพูดจะมีคำที่เปลี่ยนเสียงและกลายความหมายต่าง ไปจากภาษาเดิมมากบ้างน้อยบ้าง เช่น
สพฺเพ ภาษาใต้เป็น “เพ” “เพิ้น” “เพ้น” แปลว่า ทั้งปวง ทั้งหมด
อกฺโขภิณี ภาษาใต้เป็น “โข” “โขตาย” “ขู” “ขูตาย” “ขูลุย” แปลว่า มากมาย
สงฺฆการี ภาษาใต้เป็น “สังฆาหรี” “สังกาหรี” “สังหรี” คือ สังฆการี
ทาน ภาษาใต้เป็น “ท่านะ” “ทานะ” ใช้เรียกข้าวที่ใช้สำหรับตักบาตรโดยเฉพาะ
อิทํ ภาษาใต้ใช้เป็นสำนวนว่า “ตั้งอิทัง” หมายถึงจำยอมเสียสละทั้งที่ไม่เต็มใจ
กุฏิ ภาษาใต้เป็น “เต้” “เตะ” หมายถึงเฉพาะกุฏิขนาดใหญ่และสร้างอย่างถาวร แต่ถ้าใช้เป็น “กุฎิ” (อ่าน กุด) หมายถึงกุฏิที่เล็กและแคบพออยู่ได้เฉพาะคน
สิญฺจน ภาษาใต้ใช้เป็น “สิง” ในคำว่า “สายสิง” (สายสิญจน์)
ปราชิก ภาษาใต้เป็น “หราชิก” ใช้กับอุบาสกอุบาสิกาก็ได้ แต่เป็นสำนวนในทำนองว่าไม่ดี ปฏิบัติไม่ถูกต้อง
อุปาสก ภาษาใต้เป็น “สก” หมายถึงฆราวาสรวมทั้งเพศหญิงและชาย
ปณฺฑิต ภาษาใต้เป็น “ทิด” เรียกอุบาสกที่เคยบวชเรียนหลายพรรษาแล้วสึกออกมา
เทวตา ภาษาใต้เป็น “เทียมดา”
ปูชา ภาษาใต้ใช้บูชา และตัดเป็น “ชา” อีกคำหนึ่ง หมายถึง ยกย่อง สดุดี สรรเสริญ เช่น ชาแม่โพสพ ชาขวัญข้าว ชาขวัญเรือ
เตช ภาษาใต้เป็น “ชะ” ใช้ในคำว่า “ชะบุญ” เป็นคำอุทานเพื่อวิงวอนให้พ้นจากเคราะห์กรรมโดยขอเอาผลบุญที่เคยทำมาเป็นที่พึ่ง
ยาม ภาษาใต้เป็น “หยาม” หมายถึงฤดูกาล และใช้เป็น “ยาม” หมายถึงฤกษ์ยามตามหลักโหราศาสตร์
วิจารณา ภาษาใต้เป็น “พิดหนา”
จีวร ภาษาใต้เป็น “วร”
สปง ภาษาใต้เป็น “บง”
กินนร ภาษาใต้เป็น “ขี้หนอน” คือกินนร
คำภาษาทมิฬ
คำภาษาใต้ที่สันนิษฐานกันว่าเป็นคำภาษาทมิฬมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นชื่อสถานที่ และยังถือเป็นยุติไม่ได้ เช่น
นบพิตำ ชื่อตำบลในอำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
มนิคราม ชื่อที่ปรากฏในศิลาจารึกภาษาทมิฬ ซึ่งพบว่าเขาพระนารายณ์ จังหวัดพังงา บ้านมณิค ยังคงมีอยู่ในจังหวัดภูเก็ต คำ มณิค ภาษาทมิฬแปลว่า แก้ว
ลำปำ ชื่อบ้านในอำเภอเมืองพัทลุง เชื่อกันว่าตั้งขึ้นเลียนชื่อบ้านสลาปำของทมิฬ
ท่าหมิหรำ ชื่อบ้านในอำเภอเมืองพัทลุง เชื่อกันว่าเลือนมาจาก “ทมิฬนครัม”
พัทลุง สันนิษฐานกันว่ามาจากชื่อบ้านบะลาพัททะละของทมิฬ
คำศัพท์ที่ใช้ทั่วไปที่สันนิษฐานว่าภาษาใต้รับมาจากภาษาทมิฬ เช่น
จุหรุด หรือ ตุหรุด ภาษาใต้หมายถึงบุหรี่มวนโต ๆ ที่ห่อด้วยใบตองหรือใบไม้แห้ง ใกล้กับคำภาษา ทมิฬว่า currutt ซึ่งเขาอ่านออกเสียงเป็น shurute ตรงกัน
อาดจาด ภาษาใต้หมายถึง อาจาด เป็นผักดอง ภาษาทมิฬเป็น achar มีความหมายตรงกัน
กุหลี ภาษาใต้หมายถึง กุลี หรือกรรมกร ตรงกับภาษาทมิฬว่า kuliyal และคำนี้เมื่อเป็นภาษามลายูเป็น kuli ซึ่งพจนานุกรมมลายูอ้างว่าได้มาจากคำภาษาฮินดูสตานี
ตะกั่ว หรือ กัว ในสมัยก่อนชาวภาคใต้เรียกดีบุกว่า “กัว” คือตะกั่ว คำตะกั่วใกล้กับภาษา ทมิฬที่ว่า tagaram ซึ่งเขาอ่านออกเสียงเป็น thuguram
คำภาษาเขมร
คำภาษาเขมรที่ใช้ในภาษาถิ่นใต้ มีทั้งที่เป็นคำสามัญ และที่เป็นนามสถาน เช่น
แพงเชิง - นั่งขัดสมาธิ
เชิง - ตีน
ไอ้ทวย - แมงป่อง
ขี้เตรย - หญ้าเจ้าชู้
รำทำ - เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ
หวีเหนียด - หวีเสนียด
แสงขัน - เล็บเหยี่ยว (พืช)
สทิง - แม่น้ำ ลำน้ำ ลำคลอง
คำภาษาจีน
คำภาษาจีนในภาษาถิ่นใต้ส่วนใหญ่เป็นสำเนียงจีนฮกเกี้ยน โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตจะมีคำภาษาจีนปนอยู่มากกว่าถิ่นอื่น ๆ ดังตัวอย่างคำที่มีอักษร ภ.ก.กำกับไว้ เป็นต้น ตัวอย่างคำภาษาจีนในภาษาถิ่นใต้ เช่น
ก็องถึ่ง - ขนมตุ๊บตั๊บ
ก็องสี้ - กงสี
ก๋อ (ภ.ก.) - กาว
กัวจี้ - เมล็ดแตงโม
ก่าโต้ (ภ.ก.) - กรรไกร
กุ๋น ขุ่น (ภ.ก.) - กระโปรง
เก่หล้าง (ภ.ก.) - ตะกร้าขังไก่
โก้ปี้อ้อ - กาแฟดำ
โก้โกย (ภ.ก.) - ขนมถ้วยฟู
โก้เล่ - กะหล่ำปลี
จิ้มเป่า กิ้มเพ่า จุมเผ่า - พ่อครัว
เจี้ยนติ้ว จ้วนติ้ว - ผ้าเนื้อดีชนิดหนึ่ง
ฉิบเฉี้ยว - ปั้นชาเล็ก ๆ
ตู๊บุเหล้ง (ภ.ก.) - ไส้ไก่รถ
ถ่าวเผ่า เต้าเผ่า - เต้าเจี้ยว
ถ่าวขั้ว (ภ.ก.) - เต้าหู้เหลือง
บิ่นปุ๋น บิ่นผุน (ภ.ก.) - กะละมัง
บุ้นกี้ (ภ.ก.) ส้ากี้ - ปุ้งกี๋
ปี้ - เงิน
โปะเบี้ย (ภ.ก.) - ปอเปี๊ยะ
เก้าเตง - ชั้นบน
แห่ฉี่ (ภ.ก.) - กุ้งทอด
ก็องโถ่ - เป็นธรรม เป็นกลาง
ก็องถั่น - เข้าหุ้นในการพนัน
ก้อเยาะ - กอเอี๊ยะ
กาจั๊วะ (ภ.ก.) - แมลงสาบ
กี่จ้าง - ขนมจ้าง
เก่ก้าว (ภ.ก.) - จู้จี้ เซ้าซี้
โกปี้ - กาแฟ
โก้ปี้สึ้ง (ภ.ก.) - กาแฟเย็น
โก้หลาว (ภ.ก.) - ภัตตาคาร
จั๋บก้าง จับกั้ง - จับกัง กรรมกร
จุ๊ยก้าว (ภ.ก.) - คูน้ำ
ฉิ้นเต้ง - ผู้ตรวจตราดูแล
ฉ้าย - บอกใบ้
ถ่าวแงะ เต้าแง่ - ถั่วงอก
ถ่าวหยี - เต้าหู้ยี้
ท้ายก๋อง - นายท้ายเรือ กัปตัน
บี้หุน - เส้นหมี่ขาว
ป๋าน - กาน้ำ
ปู้หวา - ฟักเขียว
พ็องฉี - แผ่นหรือก้อนที่สมมติ
โส้ย - ซวย
อั้งเล่า - อั้งโล่
ตัวอย่างคำยืมภาษาอื่นในภาษาไทยถิ่นภูเก็ต
คำภาษาไทยถิ่นภูเก็ต มีคำศัพท์และสำเนียงที่แตกต่างจากคำภาษาถิ่นใต้อื่น ๆ และมีคำภาษาจีนซึ่งส่วนใหญ่เป็นสำเนียงชาวจีนฮกเกี้ยนปนอยู่มากมาย
ชาวจีนฮกเกี้ยนที่เข้ามาเลี้ยงชีพในจังหวัดภูเก็ต ส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซียมาก่อน และได้รับเอาวัฒนธรรมทางภาษาที่หลากหลายมาเผยแพร่ในจังหวัดภูเก็ต เช่น ภาษามลายู ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นปนอยู่
คำศัพท์ในภาษาอื่นที่ชาวจีนฮกเกี้ยนใช้พูดกันนั้น จึงเปล่งเสียงด้วยสำเนียงจีนฮกเกี้ยน ซึ่งเพี้ยนไปจากภาษาเดิม ต่อมาคำศัพท์เหล่านั้นได้กลายมาเป็นภาษาถิ่นภูเก็ตที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะ
คำยืมภาษาจีนฮกเกี้ยนที่ใช้ในภาษาไทยถิ่นภูเก็ต ซึ่งเป็นภาษาจีนฮกเกี้ยนแท้มีอยู่มากมาย (ดูจากพจนานุกรมภาษาถิ่นใต้) ณ ที่นี้กล่าวเฉพาะภาษาไทยถิ่นภูเก็ตที่เป็นคำยืมภาษาจีนฮกเกี้ยนซึ่งยืมมาจากคำศัพท์ภาษาอื่นอีกทอดหนึ่ง คือ คำศัพท์ที่มาจากภาษามลายูและภาษาอังกฤษ เป็นต้น
คำศัพท์เหล่านั้น อาจจำแนกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มคำศัพท์ที่นิยมแพร่หลายเป็นภาษาถิ่นภูเก็ตและกลุ่มคำศัพท์ที่ไม่ค่อยแพร่หลายมากนัก ดังต่อไปนี้
(๑) ตัวอย่างกลุ่มคำศัพท์ที่นิยมแพร่หลายเป็นภาษาถิ่นภูเก็ต
ก. กลุ่มคำยืมภาษามลายู เช่น
คำมลายู |
คำถิ่นใต้ |
ความหมาย |
Janji Bawang Nanas Kepek |
ชันชี บาหวั้ง หย่านัด ก่าเป๊ะ (เป๊ะ) |
สัญญา นัดหมาย หัวหอมใหญ่ สับปะรด ภาชนะตักน้ำจากบ่อ |
ฯลฯ
ข. กลุ่มคำยืมภาษาอังกฤษสำเนียงจีนฮกเกี้ยน เช่น
คำมลายู |
คำถิ่นใต้ |
ความหมาย |
Try Spanner Cheroot
Opium Survey Taxi Motorcar Lorry Commission Coffee Godown |
ตาหล้าย สี่ปันหน้า จูลูด
อาเผี่ยน เสะ ๆ เต๊ะซี่ มอตอก้า ล้อหลี้ กำเซียน โกปี หงู่ลั้ง โก่ล้ง |
ทดลองดู ทดสอบดู กุญแจปากตายหรือกุญแจเลื่อน บุหรี่มวนโตมวนด้วยใบพืช คล้ายซิก้าร์ ฝิ่น ตระเวนเตร่รอบ รถสามล้อรับจ้าง รถยนต์ รถบรรทุก ค่านายหน้า กาแฟ กุดัง โกดัง |
ฯลฯ
ค. กลุ่มคำยืมภาษามลายูสำเนียงจีนฮกเกี้ยน เช่น
คำมลายู |
คำถิ่นใต้ |
ความหมาย |
Tolong Tulong
Tabek Pasar Dobi Kopi Kueh Talam Sutong Roti Sambal, Sambar Ceylon
Tepong
Rokok Sabun Tongkat Kain tuala Guni Saksi Bintang Pogong
Tumpang Tahan Lelang Kuli Untong Suku Bale Pakar |
โต่หลง โต้หลง ตาเบ๊ะ บ่านซ้าน โลบี
โก้ยตาล้าม เซ็วตง โหล่ตี ส่ำบ่าย เส่ล้อง เส่ล้องเต๋ อ่าโป๊ง
โหล่โก๊ะ ซาบุ๋ย ตงกัด ต่อล้า หงู่หนี้ ซักสี่ เซกสี่ ปินตั้ง โปตอง
หล่องปัง ตาหั่น เหล่ล้อง กู่หลี้ อุนต่อง ซูกู้ บาเหล ปาเก |
ขอความกรุณา สงเคราะห์ ช่วย วาน วันทยาหัตถ์ ตลาดสด ร้านซักรีด กาแฟ ตะโก้ใบเตย หรือขนมถาด ปลาหมึก ขนมปัง น้ำพริกสูตรมลายู ชาฝรั่ง ชาซีลอน หรือชาลังกา
ขนมชนิดหนึ่ง หรือ “กระโปรง ทอง” ยาสูบมวนด้วยใบจาก สบู่ ไม้เท้า ผ้าเช็ดตัว กระสอบป่าน สักขี พยาน (ส.สากษี ป.สักขี) ดาว เหรียญตรา ขับรถแซงขึ้นหน้า (ตัดหรือปาดหน้า) โดยสาร (รถ) ห้าม กัน ทน หรือ แจ้ง ให้หยุด เลหลัง ขายทอดตลาด กุลี กรรมกร โชคดี มีกำไร ร่ำรวย เสี้ยว ส่วน ๑ ใน ๔ เตียงไม้นั่งนอนเล่น กำลังใช้งาน ของส่วนตัว |
ฯลฯ
(๒) กลุ่มคำศัพท์ที่ไม่ค่อยแพร่หลายในภาษาถิ่นภูเก็ต
กลุ่มคำยืมภาษามลายูสำเนียงจีนฮกเกี้ยน เช่น
คำมลายู |
คำถิ่นใต้ |
ความหมาย |
Kawin. Kahwen Kaya
Kosong Timun Balanchan Pinang Asam
Kapok Puteh Nangka Atap Barusan Saki Sampah Dukun Saka Sepak Agak Kawan Kapala Tukang Mata Jamban Barangkali Patul Pandai |
เกาอิน เกาหงิน ก่าย้า
โกซัง ตีบุ่น บาลาจัน ปิ่นหนาง อ่าซ้อ อาซ้อมโก ก่าปกหมี ปูเต้ เป่าเต๋ หนั่งกา อ่าตับ บาลู ซากี้
ลอกุน ซูกะ เส่ปัก อากะ ก่าวอวน กาปาลา ตู่กัง มาต๋า เยี้ยมหงาน บังกาลี บาตุ๊ด ป่านหล้าย |
แต่งงาน สังขยาชนิดเหลว (ใช้ทาขนมปัง) น้ำแข็งเปล่า แตงกวา อาจาด กะปิ หมาก ส้ม มะขามเปียก นุ่น ชมพู่น้ำดอกไม้ ขนุน ต้นจาก เมื่อกี้นี้ ปุ้งกี๋ ขยะ แพทย์ปัจจุบัน ชอบ พอใจ เตะ กะ ประมาณ เพื่อน สหาย แฟน หัวหน้างาน (เทียบ กบาล) ช่าง ตำรวจ ส้วม บางที สมควร เก่ง ฉลาด |
ฯลฯ
(สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, ดิลก วุฒิพาณิชย์)