ตระกูล ณ ถลาง เป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีอำนาจในฐานะเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองถลางและหัวเมืองใกล้เคียงมาเป็นเวลากว่าศตวรรษ และยังมีบุตรหลานสืบต่อวงศ์ตระกูลไว้จนถึงปัจจุบัน ประวัติความเป็นมา สถานภาพ บทบาท และการเสื่อมสลายอำนาจจากหัวเมืองภาคใต้ชายฝั่งตะวันตกของตระกูลนี้เป็นเรื่องราวทางการเมือง การปกครอง สังคมและเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ภาคใต้ และเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงกุศโลบายของรัฐบาลกลางต่อหัวเมืองชายฝั่งตะวันตกได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ตระกูล ณ ถลาง ไม่ได้เป็นเพียงตระกูลเดียวที่มีอำนาจทางการเมืองในฐานะผู้ปกครองเกาะภูเก็ตตลอดมา มีตระกูลต่าง ๆ ถึง ๔ ตระกูล ที่เข้าไปเป็นเจ้าเมืองคือ ณ ถลาง, ประทีป ณ ถลาง, รัตนดิลก ณ ภูเก็ต และจันทโรจวงศ์ ตระกูลเหล่านี้มีสายสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดทางการแต่งงานโดยเฉพาะระหว่างตระกูล ณ ถลาง กับตระกูล ประทีป ณ ถลาง และตระกูล รัตนดิลก ณ ภูเก็ต และระหว่างตระกูล ประทีป ณ ถลาง กับตระกูลจันทโรจวงศ์ เป็นต้น ตระกูลจันทโรจวงศ์ และตระกูลรัตนดิลก ณ ภูเก็ต มีผู้นำไปกล่าวไว้ต่างหากแล้ว ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะตระกูล ณ ถลาง กับ ตระกูล ประทีป ณ ถลาง ซึ่งสุนัย ราชภัณฑ์ฑารักษ์ ได้เขียนแผนผังแสดงไว้ในหนังสือท้าวเทพกระษัตรี ดังแผนผัง
ตระกูล ณ ถลาง เป็นตระกูลเจ้าเมืองถลางในเกาะภูเก็ตมาช้านาน ตามพงศาวดารเมืองถลางซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๘๔ โดยพระยาถลาง (เริก-พ.ศ. ๒๓๘๐-๒๓๙๑) และคณะกล่าวถึงต้นตระกูลของเมืองถลางไว้สั้น ๆ ว่า “...เมืองถลางแต่ก่อนนั้น จอมร้างบ้านตะเคียนเป็นเจ้าเมือง เมียจอมร้างเป็นแขกเมืองไทร หม่าเสี้ยลูกมะหุมเฒ่าแต่ก่อน ผัวตายเป็นหม้ายอยู่ มะหุมน้องบากมา เอาเงินมรดกห้าพันเศษ หม่าเสี้ยขัดใจไม่อยู่เมืองไทรมาอยู่เมืองถลางได้กับจอมร้างเป็นผัว...” ในสำนึกของคนในตระกูล ณ ถลาง และตระกูลประทีป ณ ถลาง จึงถือว่าจอมร้างเป็นต้นตระกูลของตน หลวงศรีวรวัตร (พิณ จันทโรจวงศ์) ได้กล่าวไว้ในทำเนียบข้าราชการเมืองพัทลุงว่า “...กรมการชั้น หมายตั้งเจ้าเมืองนั้นถ้าเป็นหลวงก็เรียกว่า “จอม” ถ้าเป็นขุนก็เรียกว่า “หม่อม”...” จอมร้างจึงไม่ใช่ข้าราชการที่รับสัญญาบัตรตั้งจากเมืองหลวงแต่เป็นบุคคลที่มีอิทธิพล ซึ่งนิธิ เอียวศรีวงศ์ สันนิษฐานไว้ในบทความสัมมนาประวัติศาสตร์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ เรื่อง “จากรัฐชายขอบถึงมณฑลเทศาภิบาล : ความเสื่อมสลายของกลุ่มอำนาจเดิมในเกาะภูเก็ต” ไว้ว่า “...จอมร้างและจอมเถ้าพี่น้องต่างมารดากันนี้ สืบเชื้อสายหรืออ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากมะหุม นั่นก็คือสุลต่านองค์ใดองค์หนึ่งของไทรบุรี...” ประกอบกับเมียของจอมร้างคือ “หม่าเสี้ย” เป็นลูกมะหุมเฒ่าอีกด้วย จึงพอสรุปในชั้นต้นได้ว่า “ต้นตระกูลเมืองถลาง” ทั้ง ๒ คือ “ณ ถลาง” และ “ประทีป ณ ถลาง” สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากเจ้าเมืองไทรบุรี แต่มีปัญหาว่าจอมร้างเป็นเจ้าเมืองถลางเมื่อใด สุนัย ราชภัณฑารักษ์ สันนิษฐานว่าในรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศ (พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๑๐) โดยได้อธิบายไว้ว่า “... พระยาถลางจอมร้าง บ้านตะเคียนรั้งตำแหน่งเจ้าเมืองต่อมาจนตลอดรัชกาลเพราะทางกรุงติดการรบพุ่งแย่งราชสมบัติกันเอง แล้วก็ติดสงครามกับพม่า จึงไม่มีเวลาที่จะตั้งตำแหน่งราชการหัวเมือง....” อย่างไรก็ดีตามข้อความที่ปรากฏในพงศาวดารเมืองถลางได้ชี้นำไปในทำนองเดียวกัน และยังชี้ให้เห็นว่าหลังจากสิ้นบุญจอมร้างไปแล้ว เมืองถลางเริ่มวุ่นวายจากจอมสุรินตั้งตัวเป็นใหญ่คงราว ๆ ในระยะเสียกรุง หลังจากปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ได้ในปี พ.ศ. ๒๓๑๒ แล้ว จึงจับจอมสุรินสำเร็จโทษเสีย ตระกูลเมืองถลางต้องตกอับอยู่ระยะหนึ่ง เพราะ “...พระยาถลางคางเซ้งชาวกรุงออกมาเป็นเจ้าเมือง...” แต่เมื่อนายอาดลูกจอมร้างเติบโตขึ้นมาก็ได้รับราชการสืบต่อตำแหน่งเจ้าเมืองถลางต่อมา มีบรรดาศักดิ์เพียงพระถลาง (อาด) เพราะทำราชการได้ไม่กี่ปีก็ถูกผู้ร้ายยิงตาย เมืองถลางเริ่มวุ่นวายและตระกูลเมืองถลางต้องดิ้นรนเพื่อรักษาสถานภาพของตนเองด้วยการแต่งงานสร้างสายสัมพันธ์กับตระกูลอิทธิพลอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ท้าวเทพกระษัตรี (จัน) บุตรสาวคนโตของจอมร้างแต่งงานกับหม่อมศรีภักดี เมืองตะกั่วทุ่งจนมีลูกชายคนหนึ่งและได้เป็นเจ้าเมืองถลางระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๒๘-๒๓๔๐ คือพระยาถลาง (เทียน) ซึ่งถือกันว่าเป็นต้นตระกูลประทีป ณ ถลางด้วย เป็นต้น
ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ เมืองถลางกลายเป็นสนามทางการเมืองที่สำคัญทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับระหว่างประเทศ เนื่องจากมีดีบุกมากและปริมาณความต้องการดีบุกของประเทศตะวันตกสูงขึ้น ดีบุกกลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญ ทำให้ศูนย์อำนาจต่าง ๆ ต้องการที่จะเข้าไปมีสิทธิ์มีส่วนเป็นเจ้าของผลผลิตดีบุกจากเมืองถลาง ทั้งรัฐบาลกลางของไทย พม่า ไทรบุรี พ่อค้าชาวอังกฤษ และนครศรีธรรมราช ทำให้ตระกูลเจ้าเมืองถลางต้องดิ้นรนด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อรักษาสถานภาพและผลประโยชน์ดั้งเดิมของตนเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับอำนาจอิทธิพลจากภายนอกที่เข้มแข็งกว่าด้วย ระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๑๘-๒๓๕๐ รัฐบาลไทยได้ส่งขุนนางผู้ใหญ่ระดับอัครมหาเสนาบดีเป็นข้าหลวงออกไปเร่งส่วยดีบุกและส่วยอื่น ๆ อยู่ที่ปากพระ แขวงตะกั่วทุ่งและที่พังงา ถึง ๓ ชุด คือเจ้าพระยาอินทวงศาและคณะ (พ.ศ. ๒๓๑๙-๒๓๒๕) เจ้าพระยาฤๅราชนิกูล และคณะ (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๒๘) และเจ้าพระยาสุรินทราชา (จันทร์-พ.ศ.๒๓๒๘-๒๓๕๐) ฟรานซิสไลท์ ผู้ว่าการเกาะปีนังคนแรกเคยเข้าไปมีบทบาทสำคัญในเมืองถลางก่อนที่จะขัดแย้งกับข้าหลวงคนไทย และไปเป็นผู้มีอิทธิพลอยู่ที่เกาะปีนัง ตระกูลเมืองถลางพยายามใช้อำนาจและอิทธิพลภายนอกเหล่านี้ เข้าไปสร้างดุลยภาพทางอำนาจขึ้นบนเกาะถลางเพื่อรักษาบทบาทของตนในฐานะผู้ปกครองเมืองถลางไว้ได้ตลอดมาแต่เมืองถลางมักจะถูกโจมตีและปล้นสะดมจากพม่าบ่อยครั้ง โดยพม่ามีเป้าหมายที่จะตัดขาดดินแดนปลายแหลมมลายูออกจากรัฐบาลกลาง เพราะเป็นแหล่งสนับสนุนทางเศรษฐกิจการเมืองที่สำคัญต่อการฟื้นฟูอำนาจของรัฐบาลกลางตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔
จากสภาพเช่นนี้ทำให้ตระกูลเมืองถลางต้องพยายามเฟ้นหาบุคคลที่เหมาะสมเป็นกลาง มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มตระกูลอิทธิพลอื่น ๆ และเป็นที่ยอมรับกันในระหว่างเครือญาติ ขึ้นเป็นเจ้าเมืองตลอดมา หลังจากพระยาถลาง (เทียน) ถึงแก่อสัญกรรมราว ๆ ปี พ.ศ. ๒๓๔๐ พระยาถลาง (ทองพูนหรือบุญคง) บุตรพระถลาง (อาด) ได้รับการสนับสนุนเป็นเจ้าเมืองถลางต่อมาระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๔๐-๒๓๕๒ พระยาถลาง (ทองพูนหรือบุญคง) ถือกันว่าเป็นต้นตระกูล ณ ถลาง และเป็นผู้สืบสายตรงทางฝ่ายบิดามาจากจอมร้างบ้านตะเคียน ซึ่งเป็นต้นตระกูลเมืองถลางทั้ง ๒ สาย
หลังจากเสียเมืองถลางแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๕๒ เมืองถลางถูกเผายับเยิน ผู้คนแตกหนีกระจัดกระจาย บ้างก็ล้มตายและถูกพม่าจับตัวไป ตระกูลเมืองถลางต้องตกต่ำและตกอับอีกวาระหนึ่ง เพราะผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ฟื้นฟูเมืองถลางขึ้นใหม่ที่กรา-ภูงา หรือพังงาในปัจจุบัน ไม่ใช่คนในตระกูล ณ ถลาง หรือ ประทีป ณ ถลาง แต่เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตะกั่วทุ่งคือพระวิเชียรภักดี (เจิม) หรือพระยาณรงค์เรืองฤทธิ์ (เจิม) สุนัย ราชภัณฑารักษ์ สันนิษฐานว่าสืบเชื้อสายมาจากแขกอินเดีย ชาวเมืองมัทราส ซึ่งเข้ามาค้าขายในเมืองถลางตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี พระยาณรงค์เรืองฤทธิ์ (เจิม) เป็นเจ้าเมืองถลางอยู่ที่พังงาระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๕๔-๒๓๖๗ และย้ายกลับไปเป็นเจ้าเมืองถลางในเกาะภูเก็ตอีกระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๘๐ ถือกันว่าพระยาณรงค์เรืองฤทธิ์ (เจิม) เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ตระกูลรัตนดิลก ณ ภูเก็ต
สภาพเช่นนี้ทำให้ตระกูลเมืองถลางพยายามดิ้นรนเพื่อฟื้นฟูสถานภาพของตน โดยใช้สายสัมพันธ์ทางการสมรสกับตระกูลจันทโรจวงศ์ กล่าวคือคุณหญิงทุ่มบุตรสาวคนโตของพระยาถลาง (เทียน) ได้แต่งงานกับนายเริกบุตรคนโตของเจ้าพระยาสุรินทราชา (จันทร์ จันทโรจวงศ์) และต่อมานายเริก ซึ่งมีฐานะเป็นเขยของตระกูลเมืองถลางได้รับแต่งตั้งเป็นพระยาถลาง (เริก-พ.ศ. ๒๓๘๐-๒๓๙๑) ต่อจากพระยาถลาง (เจิม) ทำให้เชื้อสายของตระกูลจันทโรจวงศ์ ซึ่งเกี่ยวดองกับตระกูลประทีป ณ ถลาง โดยการสมรสเป็นเจ้าเมืองสืบต่อมาอีก ๓ คน คือ พระยาถลาง (ทับ-พ.ศ.๒๓๙๑-๒๔๐๙) พระยาถลาง (คิน-พ.ศ. ๒๔๐๙-๒๔๑๒) และพระยาถลาง (เกต-พ.ศ.๒๔๑๒-๒๔๒๒) นับเวลานานถึง ๔๒ ปี เพื่อสร้างรากฐานทางเครือญาติให้มั่นคงขึ้นบุตรสาวคนโตของพระยาถลาง (ทับ) คือคุณหญิงเปี่ยมได้สมรสกับพระยาภูเก็ต (ทัต-พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๒๑)
แต่อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๙๖ เป็นต้นมา เมืองภูเก็ตซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะ และเป็นแหล่งที่มีดีบุกมากเริ่มกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ทัดเทียมกับเมืองถลาง จากการขยายตัวของธุรกิจเหมืองแร่และการค้าแร่ดีบุกในปีดังกล่าว ได้มีการแบ่งเกาะภูเก็ตออกเป็น ๒ เมือง เจ้าเมืองมีศักดิ์ศรี คือ ตำแหน่งยศเท่าเทียมกัน กล่าวคือเมืองภูเก็ตอยู่ภายใต้การปกครองพระยาภูเก็ต (ทัต) จากตระกูลรัตนดิลก ณ ภูเก็ต ส่วนเมืองถลางอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลจันทโรจวงศ์ดังกล่าวแล้วข้างต้น จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๐๔ จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองถลางเข้าเป็นเมืองบริวารของเมืองภูเก็ต เพื่อจะได้อาศัยกำลังคนไทยจากเมืองถลางไปช่วยถ่วงดุลอำนาจและอิทธิพลชาวจีนซึ่งอพยพเข้ามาทำ เหมืองแร่ในเขตเมืองภูเก็ตเป็นจำนวนมาก อิทธิพลและความมั่งคั่งในเกาะภูเก็ตซึ่งเคยอยู่ในกำมือของตระกูล ณ ถลาง และประทีป ณ ถลาง ค่อย ๆ ถูกถ่ายโอนไปยังตระกูลอื่น ๆ แต่ตระกูลทั้ง ๒ มิได้ยอมสยบต่อสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเกิดจากกระแสทางการเมือง สังคม หรือเศรษฐกิจ ตระกูล ทั้ง ๒ ต่างดิ้นรนเพื่อฟื้นฟูฐานะของตนเองตลอดมา ทำให้ในช่วง ๑๖ ปี ก่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อถ่ายโอนอำนาจจากหัวเมืองเข้าสู่เมืองหลวงทายาทจากสายตระกูล ณ ถลาง คือ พระยาถลาง (หนู-พ.ศ. ๒๔๒๒-๒๔๓๘) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองถลางคนสุดท้ายก่อนที่จะยุบเมืองถลางลงเป็นอำเภอ และคนในตระกูล ณ ถลาง และประทีป ณ ถลาง ต้องอพยพโยกย้ายไปรับตำแหน่งทางราชการในต่างเมืองต่างอำเภอ ตามกฏแห่งการหลีกเลี่ยงของกระทรวงมหาดไทย คือจะไม่บรรจุข้าราชการไปรับราชการในท้องถิ่นบ้านเกิดของตน เพราะเกรงจะไปสร้างอำนาจอิทธิพลตามระบบอุปถัมภ์
ตระกูล ณ ถลาง ซึ่งเกิดขึ้นและมีอำนาจอิทธิพลจากการควบคุมไพร่หาผลประโยชน์จากการผลิตดีบุก และผูกขาดผลประโยชน์อื่น ๆ ในเกาะภูเก็ต ได้ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรักษาสถานภาพของตนในฐานะกลุ่มตระกูลใหญ่ทางหัวเมืองชายฝั่งตะวันตกมานานกว่าศตวรรษ โดยใช้สายสัมพันธ์กับตระกูลอิทธิพลอื่น ๆ ทางการสมรส แต่เมื่อภาวการณ์การทำเหมืองแร่ดีบุกเปลี่ยนแปลงไป มีการลงทุนทำเหมืองแร่แบบใหม่โดยใช้แรงงานกุลีจีน ตระกูลเหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเทคนิคกรรมวิธีใหม่ ๆ ของการผลิตแร่ดีบุกและการทำธุรกิจแบบใหม่นี้ได้ประกอบกับกระแสการเมืองทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ ได้เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงอยู่ของตระกูลนี้ ในฐานะผู้ปกครองเมืองถลางการเสื่อมและสิ้นอำนาจของตระกูลนี้ไปจากเมืองถลางและเกาะภูเก็ต จึงเป็นไปตามเหตุและผลที่สามารถมองเห็นและอธิบายได้ตามกฎธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ทางสังคม มิได้เกิดจากเหตุบังเอิญหรืออำนาจลึกลับแต่ประการใด (สงบ ส่งเมือง)