ไข่นุ้ยไปโรงเรียน เป็นนวนิยายขนาดสั้นซึ่งได้รับรางวัลชมเชยประเภทหนังสือบันเทิงคดีสำหรับเยาวชนก่อนวัยรุ่น จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เขียนโดย มานพ แก้วสนิท นักเขียนชาวภาคใต้ (ดู มานพ แก้วสนิท) จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดวงกมล เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ เรื่องย่อ มีดังนี้
ไข่นุ้ยเป็นเด็กชายชนบทภาคใต้ อายุประมาณ ๙ ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.๔ โรงเรียนประจำหมู่บ้านซึ่งมีเพียงอาคารเรียนชั่วคราว และมีครูอาทรเป็นครูเพียงคนเดียวไข่นุ้ยมีเพื่อนคู่หูคนหนึ่งชื่อ นกเล็ก ทั้งคู่มักมีกิจกรรมแบบเด็ก ๆ ร่วมกันอยู่เสมอ ไข่นุ้ยกับนกเล็กจะซนตามประสาเด็ก ชอบที่จะสนใจเรื่องราวต่าง ๆ รอบตัวเช่นเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเรียนรู้ทั่วไป เช่น แอบขโมยกระท้อนจากสวนของชาวบ้าน ชอบแกล้งและให้ร้ายเพื่อน ชอบเล่นเกมที่รังแกสัตว์ ชอบเลี่ยงงาน เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามไข่นุ้ยกับนกเล็กจะเชื่อฟังครูและพ่อแม่เสมอ ทั้งพยายามแก้ไขตัวเองเมื่อถูกตักเตือนและรู้ว้าตัวเองทำผิด ครูอาทรเป็นครูที่มีอุดมคติสูง มีความรักเด็ก ๆ ชนบทที่ขาดโอกาสทางการศึกษา พยายามพัฒนาโรงเรียนและต่อสู้เพื่อให้โรงเรียนได้อาคารเรียนถาวรโดยความร่วมมือของเด็ก ๆ เพื่อน ๆ ของไข่นุ้ยและชาวบ้านที่ต้องการให้หมู่บ้านของตัวเองเจริญก้าวหน้า เรื่องดำเนินไปโดยมีไข่นุ้ยเป็นแกนกลางในการเดินเรื่อง โดยมักจะให้ไข่นุ้ยทำผิดและมีครูอาทรหรือแม่เป็นคนคอยชี้ให้เห็นความผิดนั้น ๆ เพื่อให้เด็กแก้ไข เรื่องจบลงตอนที่เจ้าหน้าที่ทางการศึกษาจากอำเภอมาตรวจโรงเรียนและครูอาทรบอกกับเด็ก ๆ ว่าปีหน้าโรงเรียนจะได้อาคารเรียนถาวร เพราะเจ้าหน้าที่ผู้นั้นบอกว่าจะไปเสนองบประมาณให้อย่างแน่นอน เด็ก ๆ ครูอาทร และชาวบ้านต่างพากันดีใจต่อข่าวนี้เป็นอย่างยิ่ง
ไข่นุ้ยไปโรงเรียน เป็นนวนิยายที่มุ่งเสนอชีวิตและความเป็นอยู่รอบ ๆ ตัวของเด็กนักเรียนในชนบทภาคใต้ พร้อมกันนั้นก็พยายามแทรกแง่คิดและสภาพที่ล้าหลังของท้องถิ่นชนบทภาคใต้ไว้โดยตลอด นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ผู้เขียนยังได้สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมพื้นบ้านภาคใต้ไว้หลายเรื่องหลายประการด้วยกัน ทั้งทางด้านความเชื่อ การละเล่นของเด็ก การใช้วัสดุท้องถิ่นเพื่อการปลูกสร้างบ้านเรือน การหาอยู่หากินของชาวบ้าน เป็นต้น เรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวพื้นบ้านภาคใต้ดังกล่าว มีแทรกอยู่เกือบทุกช่วงตอนของเรื่อง เช่น
ในบทที่ ๒ ได้กล่าวถึงการใช้ใบ “สิเหรง” เป็นเครื่องมือกันฝนแทนร่มของชาวบ้านและเด็ก ๆ ในเขตชนบทจังหวัดสงขลา
ในบทที่ ๖ ได้เขียนถึงการ “เล่นกัดมดริ้น” ซึ่งเป็นการเล่นสนุกของเด็กในชนบทภาคใต้ไว้ว่า
“ไข่นุ้ยกับนกเล็กและเพื่อน ๆ อีก ๒-๓ คน กำลังปรึกษากันอยู่ว่าจะเล่นอะไรกันดี ในที่สุดก็ตกลงชวนกันเดินออกจากบริเวณโรงเรียนไปทางด้านหลังโรงเรียนซึ่งเป็นป่าละเมาะ พ้นป่าละเมาะก็เป็นทุ่งนา ช่วงนี้ยังไม่ถึงฤดูทำนา จึงมองเห็นทุ่งนาดูลิบลิ่วไปจรดแมกไม้ของอีกหมู่บ้านหนึ่ง…”
“เล่นอะไรกันดีวะ” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น
“หามดริ้นกัดกันดีกว่าสนุกดี” เพื่อนคนหนึ่งเสนอขึ้น มดริ้นเป็นมดตัวสีดำขนาดเท่ามดแดง อาศัยอยู่ในรูตามคันนา กัดได้เจ็บปวดมาก
“หาที่ไหน” นกเล็กสนใจ
“ก็ตามรูคันนานี่ไง สังเกตดูรูเล็ก ๆ ตามขอบคันนานี่แหละ ถ้าที่ปากรูมีรอยตีนมันก็ใช่แน่” เพื่อนอธิบาย “เราไปหาน้ำใส่ถุงพลาสติกมาก่อน”
“เอามาทำไมเล่า” ไข่นุ้ยสงสัย
“ก็เอามาหยอดลงในรูมดริ้นนะซี หยอดน้ำลงไป มดริ้นทนไม่ได้มันจะโผล่ขึ้นมา เราก็จับมันมาชนกัน” เพื่อนบอกแล้วกลับไปเอาน้ำที่บ่อของโรงเรียน
“คู่แรกให้เป็นมดริ้นของนกเล็กกับไข่นุ้ยก่อน ทีนี้ก่อนจะให้มันกัดกันต้องถอนหนวดสองเส้นของมันเสียก่อน...นี่อย่างนี้” เพื่อนอธิบายแล้วจับมดริ้นของนกเล็กถอนหนวดสองเส้นตรงใกล้ ๆ ปากของมันออก
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย” นกเล็กถาม
“ให้มันเมา” เพื่อนว่า “แล้วมันจะได้กัดกัน”
“ไข่นุ้ยไม่ค่อยเชื่อคำที่เพื่อนบอกมากนัก คงจะทำให้มันเจ็บปวดมากกว่า เพราะเมื่อไข่นุ้ยถอนหนวดมดของตัวเองออก แล้วปล่อยลงบนลานดินซึ่งเป็นสนาม มันก็กรูเข้ากัดมดของนกเล็กอย่างเอาเป็นเอาตาย...”
ในบทที่ ๙ ก็ได้กล่าวถึงการเล่น “ม้าถีบ” ซึ่งเป็นการเล่นพื้นบ้านของเด็กภาคใต้ไว้ตอนหนึ่งว่า
“เพื่อน ๆ ของไข่นุ้ยเล่นจับกันบ้าง เล่นเตยกันบ้าง ไข่นุ้ยและเพื่อนอีกพวกหนึ่งชวนกันไปข้างหลังโรงเรียน นัดแนะที่จะเล่น “ม้าถีบ” กัน การเล่นม้าถีบนี้ เด็ก ๆ จะต้องจับกันเป็นคู่ ๆ เล่นคราวหนึ่ง ก็ประมาณ ๓-๔ คู่ ในคู่หนึ่ง ๆ นั้นก็ให้คนหนึ่งขึ้นขี่หลังของอีกคนหนึ่ง คนขี่หลังต้องยืดเท้าไปข้างหน้าเหยียดให้ตรง ทุกคู่ต้องทำเช่นนี้ เมื่อพร้อมแล้วให้คนที่เป็นผู้แบกนำคนที่อยู่บนหลังเข้าถีบหรือดันกันไปดันกันมาพร้อม ๆ กันทุกคู่
ไข่นุ้ยเองได้เป็นผู้ขี่หลังนกเล็กเพราะนกเล็กตัวใหญ่ นกเล็กแบกไข่นุ้ยไปถีบกับเพื่อน ๆ ถีบกันไปถีบกันมา ดันกันไปดันกันมาสนุกที่สุด ฝ่ายไหนสู้ไม่ได้ก็ล้มลงไป คู่ไหนสามารถถีบให้คู่ต่อสู้ล้มหรือตกจากหลังคนแบก คู่นั้นก็จะเป็นผู้ชนะ...”
นอกจากจะแทรกวัฒนธรรมพื้นบ้านแล้ว ผู้เขียนยังได้พยายามให้คติปลูกฝังให้เด็ก ๆ รักวัฒนธรรม รักภาษาของชาติไทยไปพร้อม ๆ กันด้วย เช่น ในบทที่ ๑๑ ได้ให้ครูอาทรอธิบายให้เด็ก ๆ เห็นคุณค่าของภาษาไทยว่า
“ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติที่เราควรภูมิใจ เราควรหวงแหน มีไม่กี่ประเทศกี่ชาติที่มีภาษาใช้กันเหมือนประเทศไทย ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่าเป็นมรดกสำคัญของชาติอย่างนี้ เราจะพยายามเขียนให้สวยให้ถูกต้องไม่ได้เชียวหรือ...ถ้าเธอรักชาติไทย รักภาษาไทย ต่อไปนี้ต้องพยายามเขียนหนังสือให้ถูกต้องและเขียนให้อ่านง่าย ภาษาไทยเราจะได้ไม่สูญหายไปจากชาติไทยเรา...”
ในบทที่ ๑๔ ได้กล่าวถึงการเล่นในน้ำของเด็กภาคใต้ไว้ว่า
“...ไข่นุ้ย นกเล็ก และเพื่อน ๆ อีก ๓-๔ คน ชวนกันหลบออกไปนอกโรงเรียนตรงที่หนองน้ำทันที เด็ก ๆ ไม่พูดพล่ามทำเพลง รีบถอดเสื้อถอดกางเกงกระโจนลงไปดำผุดดำว่ายกันอย่างสนุกสนาน อาบกันพอตัวเย็นฉ่ำ เด็ก ๆ ก็ชวนกันเล่นเกมสนุก เช่น เล่นปลาวิ่งป้อง เล่นดำน้ำแข่งกันวิ่งไล่จับกัน โดยแบ่งเป็นสองข้างคือตำรวจกับผู้ร้าย คือฝ่ายไล่กับฝ่ายถูกไล่ เบื่อก็เล่นตีลังกาลงไปในน้ำ...”
ในบทที่ ๑๙ ผู้เขียนได้แสดงให้เห็นถึงความนิยมในการเล่น “เตย” ซึ่งเป็นการละเล่นของเด็ก ๆ ภาคใต้อีกชนิดหนึ่ง แม้การเสนอข้อมูลในเรื่องนี้จะไม่ละเอียดเห็นภาพการละเล่นชัดนัก แต่ก็ได้ชี้ถึงความเคลื่อนไหวของเด็ก ๆ ในโรงเรียนตามชนบทภาคใต้ได้อย่างสมจริง ตอนหนึ่งของบทนี้ผู้เขียนบรรยายว่า
“เล่นเตยกันดีกว่า” บาวเอียดเสนอขึ้นก่อน
“ดีเหมือนกัน... รึว่าไงพวกเรา” ไข่นุ้ยหันไปถามเพื่อน ๆ
“เอาเลย แบ่งออกเป็นสองข้างซิ” พรรคพวกสนับสนุน
“เด็ก ๆ แบ่งออกเป็นสองพวกพวกหนึ่งคอยดักอยู่บนเส้นที่ขีดไว้ พวกหนึ่งต้องพยายามวิ่งผ่านพวกที่ดักอยู่บนเส้นที่ขีดไว้ นับว่าการเล่นเตยเป็นเกมที่ทำให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังกันมากเกมหนึ่ง”
ไข่นุ้ยไปโรงเรียน เป็นนวนิยายที่เขียนขึ้นมาโดยเจตนาต้องการให้เป็นหนังสืออ่านสำหรับเยาวชนก่อนวัยรุ่น มีเป้าหมายที่ต้องการจะสร้างความคิดที่มีคุณธรรมให้แก่เด็ก ๆ ต้องการให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ถึงสิ่งรอบตัวและให้สามารถปรับตัวเป็นคนดีมีความสามารถเป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันผู้เขียนก็มีเจตนาอีกประการหนึ่ง คือต้องการให้เด็ก ๆ ในส่วนอื่นของประเทศไทยได้รับรู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกับพวกเขาที่อยู่ในชนบทภาคใต้ว่ามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง ดังเช่นที่ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งในคำนำของผู้เขียนฉบับพิมพ์ครั้งแรกว่า
“...ถึงเวลาแล้วที่เยาวชนของชาติควรจะได้อ่าน ได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนร่วมประเทศ โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ในชนบทอันเป็นเยาวชนส่วนข้างมากของประเทศนี้ และในขณะเดียวกันก็ได้รับความคิดคุณธรรมต่าง ๆ ที่เยาวชนของชาติควรจะมีเป็นสมบัติติดตัว”
ไข่นุ้ยไปโรงเรียน นับว่าเป็นวรรณกรรมสมัยใหม่ที่มีคุณค่าทั้งทางด้านการปลูกฝังคุณธรรมให้แก่เยาวชนและคุณค่าทางด้านการบันทึกถึงวัฒนธรรมพื้นบ้านภาคใต้มากเรื่องหนึ่ง (สถาพร ศรีสัจจัง)