รองศาสตราจารย์ ดร.เฟื่องฟุ้ง เครือตราชู เป็นนักการศึกษาชาวภาคใต้ที่ได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมากคนหนึ่ง ท่านอุทิศชีวิตเพื่อความก้าวหน้าของวงวิชาการและวงการศึกษาไทย ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับอุดมศึกษา ตลอดชีวิตของท่านได้ทำงานเกี่ยวกับหลักสูตรแบบเรียน และการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาไทย นอกจากนั้นยังเป็นนักวิชาการที่มีผลงาน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือแบบเรียน บทความทางวิชาการ หรืองานค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการศึกษา เคยได้รับเชิญให้ไปดูงานการศึกษาในประเทศต่าง ๆ หลายครั้ง จนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปทั้งในและต่างประเทศว่าเป็น “นักการศึกษา” ที่สำคัญคนหนึ่งของประเทศไทย
เฟื่องฟุ้ง เครือตราชู เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๐ ที่อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เป็นบุตรคนที่ ๓ ในจำนวนบุตร ๖ คนของขุนมนัสเนติ (มนัส เครือตราชู) กับนางมนัสเนติ (ดำ เครือตราชู) บิดารับราชการเป็นนายไปรษณีย์โทรเลขจังหวัดสงขลา ซึ่งต่อมาเป็นนายกเทศมนตรีเมืองสงขลา เฟื่องฟุ้งมีแววฉลาดมาแต่เล็ก ๆ แต่มีร่างกายค่อนข้างเล็ก บิดามารดาจึงส่งเข้าโรงเรียนล่าช้า คือได้เริ่มเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาเมื่ออายุได้ ๘ ขวบ ในปี พ.ศ.๒๔๖๘ ที่โรงเรียนประชาบาล ตำบลบ่อพลับ อำเภอเมืองสงขลา เรียนจบชั้นประโยคประถมศึกษา (ปีที่ ๓) ในปี พ.ศ.๒๔๗๐ ในปี พ.ศ.๒๔๗๑ เข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ ๑ ที่โรงเรียนวรนารีเฉลิม ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดสงขลา ผลการเรียนปรากฏว่าสอบได้ที่ ๑ เสมอมา และขณะที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๕ เมื่อคราวสอบกลางปีก็สามารถทำคะแนนได้ดีมาก ทางโรงเรียนจึงให้เลื่อนชั้นขึ้นไปเรียนในชั้นมัธยมปีที่ ๖ ในกลางปีนั้น จึงสามารถเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๖ ในปี พ.ศ.๒๔๗๕ ด้วยเป็นนักเรียนที่เรียนดี ดังนั้นเมื่อเรียนจบชั้นดังกล่าวแล้ว จึงได้รับการคัดเลือกจากทางจังหวัดสงขลา เพื่อเข้าศึกษาวิชาครู ป.ป. ที่กรุงเทพฯ โดยทุนของกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากในสมัยนั้นไม่เคยปรากฏว่าบิดามารดาของเด็กในจังหวัดสงขลาได้ส่งบุตรหญิงของตนเข้าไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ พระเพ็ชรคีรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาในขณะนั้น จึงได้ไปเจรจากับขุนมนัสเนติ ขอร้องให้ยอมให้เฟื่องฟุ้งเข้าไปศึกษาในกรุงเทพฯ ขุนมนัสเนติเป็นคนเห็นความสำคัญของการศึกษาอยู่แล้ว และเห็นว่าลูกสาวของตนเรียนหนังสือดีจึงอนุญาต ดังนั้นในปี พ.ศ.๒๔๗๖ เฟื่องฟุ้งจึงได้เข้าเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๗ พร้อมกับเรียนวิชาครูประถมด้วยที่โรงเรียนเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ โดยพักอยู่ที่โรงเรียนนั้น เรียนสำเร็จในปี พ.ศ.๒๔๗๗ ผลของการเรียนปรากฏว่ายังคงสอบได้ที่ ๑-๒ เสมอมา เมื่อเรียนสำเร็จตามความต้องการของจังหวัดและตามสัญญาทุนของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว บิดาเห็นว่าบุตรสาวมีผลการเรียนดี จึงขอร้องทางจังหวัดสงขลาให้เฟื่องฟุ้งได้ศึกษาต่อในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการก็อนุญาตและทั้งจะให้ทุนเรียนต่อไปอีกด้วย แต่ให้จัดหาที่พักเอง ขุนมนัสเนติเห็นว่าการที่กระทรวงศึกษาธิการอนุญาตให้เฟื่องฟุ้งเรียนต่อโดยไม่เรียกเข้ารับราชการตามข้อตกลงทุนเดิม และไม่เรียกเงินทุนคืนก็เป็นพระคุณอย่างสูงแล้ว ประกอบกับทุนที่กระทรวงฯ ให้มีจำนวนน้อย จึงไม่ขอรับทุนและได้นำเฟื่องฟุ้งไปฝากไว้กับคุณหลวงสถิตย์โทรกล (ครั้งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการสื่อสาร กรมไปรษณีย์โทรเลข) ที่บ้านถนนพระราม ๔ ในปี พ.ศ.๒๔๗๘ เฟื่องฟุ้งจึงได้เข้าศึกษาต่อในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาอยู่เป็นเวลา ๕ ปี ก็สำเร็จได้วุฒิ อ.บ., ป.ม. ในปี พ.ศ.๒๔๘๒ ขณะที่ศึกษาอยู่สอบได้คะแนนดีตลอดมา และปรากฏว่าในปี ที่สำเร็จก็สอบได้เป็นที่ ๑ ในวิชาภาษาไทย
เมื่อสำเร็จการศึกษาในระดับนี้แล้ว เฟื่องฟุ้งได้เข้ารับราชการในตำแหน่งครู โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย กองโรงเรียนรัฐบาล กรมสามัญศึกษา (เดิม) เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๓ ต่อมาทางกรมวิชาการ (เดิม) ประกาศรับสมัครตำแหน่งอาจารย์ประจำกรม เฟื่องฟุ้งก็สมัครสอบและสอบได้ที่ ๑ ได้บรรจุในตำแหน่งนั้นเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๘๓ มีหม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล เป็นอธิบดี ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๘๔ กรมวิชาการ (เดิม) ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมอาชีวะศึกษา” โดยมี ฯพณฯ สุกิจ นิมมานเหมินทร์ เป็นอธิบดี และใน พ.ศ.๒๔๙๕ สมัยหลวงประโมทย์จรรยาวิภาช เป็นอธิบดี ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมอาชีวศึกษา” เฟื่องฟุ้งก็ได้เปลี่ยนสังกัดกรมตามนั้นด้วย ขณะที่ทำงานในกรมนี้ เฟื่องฟุ้งก็ทำหน้าที่เกี่ยวกับตำราแบบเรียน ซึ่งมีทั้งพิจารณาตรวจแก้ตำราที่ผู้อื่นเขียนและเขียนตำราขึ้นเอง ทั้งที่เขียนคนเดียวและเขียนร่วมกับคนอื่น ๆ จนกระทั่งกระทรวงศึกษาธิการตั้งกรมวิชาการขึ้นใหม่ และแยกงานกองตำราจากกรมอาชีวศึกษาไปขึ้นกับกรมวิชาการ เฟื่องฟุ้งจึงได้โอนไปรับราชการในสังกัดกรมวิชาการอีกครั้งหนึ่ง
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ เฟื่องฟุ้งสอบชิงทุนรัฐบาลอเมริกา (Smith Mundt Scholarship) จึงไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา เดินทางจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ โดยมูลนิธิ Fulbright ออกค่าเดินทางให้ ผ่านทางยุโรปถึง Lewesburg, Pensylvania, U.S.A. เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ แล้วเดินทางไปรายงานตัวที่ Bucknell Institute for Foreign Students และพักอยู่ที่นั่น จนถึงวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงเดินทางไปนครนิวยอร์ค เข้าศึกษาที่ Columbia University จนกระทั่งถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๕ ก็สำเร็จปริญญาโททางการศึกษา (M.A.) ในแขนงการจัดหลักสูตรและการสอน (Curriculum & Teaching) และครบวาระสัญญาทุนของรัฐบาลอเมริกา แต่เนื่องจากว่าผลการศึกษาของท่านอยู่ในเกณฑ์ดี ทางกระทรวงศึกษาธิการ และ ก.พ. ได้พิจารณาเห็นว่าท่านเป็นผู้มีความรู้ความสามารถดี มีความเอาใจใส่ในการศึกษาซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญแก่ประเทศชาติต่อไป รัฐบาลไทยจึงให้ทุนศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกต่อไป ณ มหาวิทยาลัยเดิมในปี พ.ศ.๒๔๙๖ และสำเร็จปริญญาเอกทางการศึกษา (Doctor of Education-Ed.D.) ในแขนงการจัดหลักสูตรและการสอน โดยเน้นหนักทางการประถมศึกษาในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ได้เขียนปริญญานิพนธ์ เรื่อง “Conceptions of a Public Elementary School Curriculum Appropriate for the Chidren of Thailand with Suggested Procedures for Curriculum Development in Thailand”
ต่อจากนั้น ทางรัฐบาลมีคำสั่งอนุญาตให้เฟื่องฟุ้งดูงานการศึกษา ในประเทศต่าง ๆ เพื่อหา ประสบการณ์ จะได้นำมาประยุกต์กับวิชาการที่ศึกษามา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ โดยให้ดูงานในประเทศสหรัฐอเมริกา ๑ เดือน ประเทศต่าง ๆ ในยุโรป อินเดีย พม่า ๒ เดือน และได้รับทุนจาก British Council ให้ดูงานตามโรงเรียนต่าง ๆ ในกรุงลอนดอนอีก ๑ เดือนด้วย ดังนั้นในวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๙ เฟื่องฟุ้งได้เดินทางจากนครนิวยอร์คไปดูงานตามที่ต่าง ๆ เช่นที่ Milton, Pensylvania, Washington D.C., London, Birmingham, Paris, Bonn, Rome, New Delhi, Rangoon เป็นต้น กลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๙ แล้วกลับเข้ารับราชการในกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการตามเดิม โดยมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกตรวจและค้นคว้ากองวิจัย ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้เดินทางไปดูงานทางด้านการทำหนังสือแบบเรียน และด้าน Curriculum Laboratory โดยทุน I.C.A. ณ ประเทศฟิลิปปินส์เป็นเวลา ๑ เดือน และในปีเดียวกันนั้นก็ได้โอนไปรับราชการในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหัดครู ได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษของวิทยาลัย วิชาการศึกษาปทุมวันด้วย (ขณะนั้นศาสตราจารย์ คุณหญิงอุบล หุวะนันท์ เป็นรองอธิการ) ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๑ จึงได้โอนไปเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาแห่งนี้ ศาสตราจารย์ คุณหญิงอุบล หุวะนันท์ ได้กล่าวถึงการทำงานของเฟื่องฟุ้งที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาตอนหนึ่งว่า
“คุณเฟื่องได้รับมอบหมายให้ทำงานทั้งด้านวิชาการและธุรการ อันสืบเนื่องจากวิชาการของวิทยาลัย แล้วยังขวนขวายหาเวลาเขียนตำรับตำราทางการศึกษาอีกด้วย นอกจากนี้ยังไปสอนวิชาการ ระดับปริญญาโท และสอนพิเศษระหว่างภาคฤดูร้อนของคุรุสภา อีกทั้งยังได้อำนวยความช่วยเหลือและให้คำแนะนำและสนใจในกิจการ และความเคลื่อนไหวในทางการศึกษาระดับประถมและอนุบาลอีกด้วย รวมความว่าคุณเฟื่อง ต้องดิ้นรนเกี่ยวข้องกับการศึกษาทุกระดับ ทำให้เกือบไม่มีเวลาว่างเป็นตัวของตัวเอง
คุณเฟื่องทำงานในลักษณะเป็นผู้เล็งผลเลิศ หากไม่ได้ผลหรือชักช้าไม่ทันใจหรือมีอะไรติดขัดก็มักจะไม่สบายใจ แต่คุณเฟื่องก็ยอมเรียน ความอดทนและฝึกฝนการสร้างมนุษยสัมพันธ์จากผู้ที่นับถือและใกล้ชิด และสามารถสร้างบุคลิกภาพใหม่ ซึ่งมีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้ร่วมงานด้วยกัน อันประกอบไปด้วยบุคคลที่มีอัตภาพหลายแบบหลายประเภทได้ กาลเวลาต่อมาทำให้คุณเฟื่องได้รับการยกย่องนับถือว่าเป็นอาจารย์อาวุโสจากเพื่อน ๆ และอาจารย์ผู้น้อยเป็นอย่างดี”
ด้วยเหตุที่เฟื่องฟุ้งเป็นทั้งนักวิชาการ นักบริหาร และมีมนุษยสัมพันธ์ดี ทางวิทยาลัยจึงได้มอบหมายงานฝึกสอน ซึ่งเป็นงานหัวใจของการฝึกหัดครูให้แก่ท่าน และแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าแผนกวิชาการศึกษาอีกด้วย เฟื่องฟุ้งได้เลื่อนเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นเอกเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๒ ใน พ.ศ.๒๕๐๗ ได้รักษาการในตำแหน่งรองอธิการวิทยาลัยวิชาการศึกษาอีกตำแหน่งหนึ่ง ใน พ.ศ.๒๕๐๘ ได้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ และใน พ.ศ.๒๕๐๙ ได้เลื่อนเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นพิเศษ ตำแหน่งรองศาสตราจารย์วิทยาลัยวิชาการศึกษา ปรากฏตามรายงานหน้าที่ คุณภาพ และปริมาณ ในตำแหน่งรองศาสตราจารย์ว่าเป็นหัวหน้าแผนกวิชาการฝึกสอนและฝึกงาน หัวหน้าแผนกวิชาการศึกษา ผู้ประสานงานฝ่ายวิชาการศึกษา และผู้ประสานงานฝ่ายวิชาการทั่วไป
นอกจากงานราชการประจำ เฟื่องฟุ้งยังปฏิบัติงานราชการพิเศษอีกหลายอย่าง เช่น เป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการประกวดแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการใน พ.ศ.๒๔๙๓ เป็นกรรมการจัดทำหนังสือวิชาชุดครูประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาของกรมการฝึกหัดครู เป็นกรรมการจัดทำแบบเรียนภาษาไทยชั้นประถมศึกษาของกรมวิชาการ เป็นกรรมการจัดทำหนังสือคู่มือครูระดับอนุบาลศึกษาของกรมสามัญศึกษา เป็นกรรมการเขียน “แนวการสอนภาษาไทย” สำหรับโรงเรียนอนุบาล เป็นกรรมการพิจารณาศัพท์วิชาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการจัดทำหลักสูตรของวิทยาลัยวิชาการศึกษา เป็นประธานกรรมการ Moral & Cultural Laboratory เป็นประธานกรรมการ Counseling Service เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการร่างหลักสูตร ป.กศ. เป็นต้น
นอกจากนั้นแล้วยังได้เข้าร่วมประชุมสัมมนาและสังเกตการณ์การประชุมสัมมนา อันเกี่ยวเนื่องด้วยการศึกษาและวิชาการอีกหลายครั้ง เช่น ใน พ.ศ.๒๕๐๓ เป็นผู้สังเกตการณ์ในการประชุมวัดผลขององค์การ สหประชาชาติครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๐๖ ร่วมประชุมการแนะแนวการศึกษาและอาชีพของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๐๕ ร่วมประชุมอบรมอาจารย์หัวหน้าฝึกสอนของวิทยาลัยครูทั่วพระราชอาณาจักรและร่วมประชุมในการปรับปรุงหลักสูตรประถมศึกษาของภาคศึกษา ๒ ที่จังหวัดยะลา พ.ศ.๒๕๐๖ ร่วมประชุมในการอบรมครูที่จังหวัดยะลา พ.ศ.๒๕๑๐ ร่วมสัมมนาการแนะแนวการสอนหมวดวิชาการศึกษา ตามหลักสูตร ป.กศ. ชั้นสูง และร่วมสัมมนาเรื่องหลักสูตรสังคมศึกษาในระดับประถมศึกษา เป็นต้น
ส่วนผลงานที่เป็นบทความ หนังสือตำราวิชาการต่าง ๆ ของเฟื่องฟุ้งมีอยู่มากทั้งที่เขียนขึ้นเองคนเดียวและเขียนร่วมกับคนอื่น ๆ ขอยกมาพอสังเขป เช่น An Evaluation of the College of Education Undergraduate Program (ร่วมกับคณะกรรมการหลักสูตรของมหาวิทยาลัย) An Opinion Survey of 65 Employers Concerning Selected Teaching Characteristics of 150 College of Education Graduates (ร่วมกับคณะกรรมการหลักสูตรของมหาวิทยาลัย) ข้อแนะนำบางประการสำหรับครูชั้นประถม (ร่วมกับ Miss Dixie Lippincolt พิมพ์เป็นเอกสารนิเทศการศึกษาของกรมการฝึกหัดครู พ.ศ.๒๕๐๒) คู่มือการจัดอนุบาลศึกษา (ร่วมกับคณะกรรมการของกระทรวงศึกษาธิการ) อนาคตของท่าน (การสำรวจดูความสามารถและสนใจของตนเองเกี่ยวกับการ เลือกงานอาชีพร่วมกับ Dr. W.D. Martinson พิมพ์โดยโครงการพัฒนาภาคใต้ กรมวิชาการ) วิธีพิเศษในการสอนภาษาไทย แบบเรียนภาษาไทยสำหรับผู้พูดภาษามลายู แบบคัดลายมือ (ทั้ง ๓ เล่มนี้ เขียนร่วมกับ ดร. Donald Leushel ดร.อุดม วโรตมสิกขดิตถ์ อาจารย์ซ่อนกลิ่น พิเศษสกลกิจ และอาจารย์อังกาบ ผลากรกุล พิมพ์โดยโครงการพัฒนาภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๐๗) แบบเรียนวิทยาศาสตร์เบื้องต้นชั้น ป.๑-ป.๔ (ร่วมกับปลัดกระทรวงบุญถิ่น อัตถากร พิมพ์โดยกรมวิชาการ) แบบสอนอ่านสังคมศึกษา ป.๑-ป.๒ แบบเรียนพลานามัย ป.๑-ป.๓ แบบเรียนชั้นประถมศึกษาเรื่อง การสงวนทรัพยากร กินดีโตเร็ว วันสำคัญของเรา และเรื่องเที่ยวสนุก ระหว่างปิดภาคปลาย (พิมพ์โดยกรมวิชาการ) ลาก่อนมิสเตอร์ชิปส์ (แปลร่วมกับบุญถิ่น อัตถากร (ปลัด กระทรวงขณะนั้น และครูกีฬา พรรธนะแพทย์) บทความเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอน ตีพิมพ์ในวารสารศูนย์ศึกษาจันทร์เกษม และประชาศึกษา ประมาณ ๑๔ บทความ นอกนั้นยังมีบทความวิทยุกระจายเสียงตามหลักสูตรการศึกษา พ.ม. อีก ๑๕ บทความ เป็นต้น
เฟื่องฟุ้งปฏิบัติราชการด้วยดีเสมอมา จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔ รวมอายุได้ ๕๓ ปี ๙ เดือน ๒๓ วัน ได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาสกรุงเทพฯ ก่อนถึงแก่กรรมเฟื่องฟุ้งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นพิเศษอันดับ๒ เงินเดือน ๕,๔๐๐ บาท เครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดที่ได้รับพระราชทานคือ ทวิติยาภรณ์มงกุฎไทย (พรศักดิ์ พรหมแก้ว)