วัดโดนคลาน ตั้งอยู่หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านพร้าว อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าสร้างในสมัยใด แต่มีวัตถุโบราณหลายชิ้นที่พอจะประมาณอายุวัดได้ว่าวัดนี้มีอายุการสร้างหลายร้อยปี ที่สำคัญคือพระพุทธรูปหินทรายแดงจำนวน ๒ องค์ จากคำบอกเล่าของพระภิกษุหมุน ฑีฆโยโก อายุ ๘๓ ปี พรรษา ๒๕ ซึ่งจำพรรษาที่วัดโดนคลาน ได้สรุปความเป็นมาเฉพาะเรื่องพระพุทธรูปหินทรายแดงว่าประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๐ พระภิกษุและชาวบ้านได้ช่วยกันบูรณะวัดและปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปหินทรายแดงที่ถูกช้างป่าทำลายหักเป็นท่อน ๆ ผู้เล่าเรื่องนี้ได้มีส่วนร่วมในการฉาบปูนทับองค์พระทั้ง ๒ องค์ ดังกล่าวในตอนต้น
ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล กล่าวถึงเรื่องราวการสลักพระพุทธรูปด้วยหินทรายแดงไว้ในหนังสือ “ศิลปะในประเทศไทย” ความตอนหนึ่งว่า
“...ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๗๒-๒๒๓๑) นิยมสลักพระพุทธรูปด้วยศิลาทรายเพราะเหตุว่าในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองไทยปราบประเทศกัมพูชาได้ จึงนิยมใช้ศิลาสลักพระพุทธรูปอย่างในประเทศนั้นกันอยู่พักหนึ่ง...ในระยะนี้พระพุทธรูปที่สลักด้วยศิลาทรายสีแดง ก็มีปรากฏขึ้นทั้งภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทย”
ในท้องที่จังหวัดพัทลุง ปรากฏพระพุทธรูปศิลาทรายแดงอยู่หลายแห่ง เช่น ที่วัดเขียน (บางแก้ว) วัดสทัง วัดควนถบ ฯลฯ ถ้าจะเทียบอายุการสร้างวัดโดนคลานกับพระพุทธรูปหินทรายแดงแล้ว เข้าใจว่าคงจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนกลาง คือประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ปี มาแล้ว คือมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับวัดที่กล่าวในตอนต้นทั้งสิ้น
ความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ของวัดโดนคลาน เล่าสืบกันมาว่า สมภารรูปหนึ่งชื่อ “บัวราม” มีชีวิตอยู่ระหว่างปี พ.ศ. ๒๒๗๐-๒๓๕๐ เป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า นัยหนึ่งว่าเรียนจากสำนักวัดเขาอ้อ ถึง พ.ศ. ๒๓๒๘ พม่าส่งกองทัพใหญ่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้ วันหนึ่งกองหาเสบียงอาหารของเกงหวุ่นแมงยีผ่านมาถึงวัดโดนคลาน ทหารพม่าขอมะพร้าวอ่อนกิน ๑ ลูก แต่ทหารตัดเอาทั้งทะลาย ปรากฏว่าได้กินเพียงลูกเดียวจริง ๆ เพราะที่เหลือนอกนั้นไม่มีน้ำไม่มีเนื้อมะพร้าวอยู่เลย ชาวบ้านเชื่อกันว่าท่านสมภารบัวรามมีวาจาสิทธิ์ และมีผู้เล่าว่าท่านสมภารใช้ไม้เท้าขีดเส้นกั้นมิให้พม่าล่วงถึงเมืองพัทลุงจนกลายเป็นคลองที่ปัจจุบันเรียกว่าคลองปันแต เมื่อท่านมรณภาพ ชาวบ้านมีความเคารพศรัทธา ได้เก็บอัฐิไว้ทางด้านทิศเหนืออุโบสถของวัด เรียกกันว่า “เขื่อนสมภารบัวราม” ปัจจุบันนี้ยังมีชาวบ้านบนบานคราวเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอ
เกี่ยวกับอุโบสถที่เห็นอยู่ปัจจุบันเป็นฝีมือช่างสมัยใหม่ จากการสอบถามผู้สูงอายุเล่าสืบมาว่ามีการซ่อมแซมหลายครั้ง ระยะหนึ่งว่างเว้นสมภารถูกปล่อยให้รกร้างหลายปี จนบริเวณวัดมีต้นไม้ขนาดใหญ่เต็มไปหมด เป็นเหตุให้ช้างป่าเข้ามาทำลายพระอุโบสถและพระพุทธรูปหินทรายแดงหักพัง จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ชาวบ้านใกล้เคียงและพระภิกษุในวัดได้ช่วยกันบูรณะวัดและองค์พระพุทธรูป โดยฉาบปูนทับอีกชั้นหนึ่ง จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เกิดพายุพัดหลังคาอุโบสถทรงโถงพังอีกครั้งหนึ่ง ชาวบ้านจึงร่วมใจกันสร้างอุโบสถใหม่แบบถาวรดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้
โบราณสถานและโบราณวัตถุที่น่าสนใจในวัดมีดังนี้
๑. อุโบสถ สร้างแบบถาวรสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ ฝีมือช่างพื้นเมือง แต่รูปทรงศิลปะการสร้างงดงามได้สัดส่วน ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป ถูกต้องตามขนาดสมมติที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงกล่าวว่า เขตพัทธสีมาห้ามสมมติสีมาเล็กเกินไปกว่าบรรจุภิกษุ ๒๑ รูป นั่ง หัตถบาสกันไม่ได้
๒. พระพุทธรูปองค์ประธานในอุโบสถ ที่กล่าวในตอนต้นว่าทำด้วยหินทรายแดงแต่ฉาบปูนทับไว้ทั้งองค์ ปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง ๑.๘๐ เมตร ปรากฏให้เห็นร่องรอยการต่อชัดเจน
๓. พระพุทธรูปหินทรายแดงปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๖๒ เซนติเมตร ประดิษฐานไว้ที่ศาลาการเปรียญ ปรากฏฉาบปูนทับชัดเจน
๔. พระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทร ทำด้วยไม้จำนวน ๒ องค์ ขนาดความสูงพอ ๆ กัน คือวัดจากพระบาทถึงพระเกศ ๑.๒๘ เมตร ฐานสูง ๒๓ เซนติเมตร
๕. แผ่นหินชนวนรูปวงกลม ชาวบ้านเล่าสืบกันมาว่าเป็นของเก่ามีมาพร้อม ๆ กับการสร้างวัด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑.๐๗ เมตร ความหนาประมาณ ๘ เซนติเมตร ตรงกลางมีร่องเจาะเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่ายาวด้านละ ๒๓ เซนติเมตร ไม่อาจสืบได้ว่าเดิมใช้ทำอะไร และนำมาจากไหน ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ตรงหน้าเขื่อนท่านสมภารบัวราม ชาวบ้านมีความเชื่อว่าเป็นหินศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
วัดโดนคลานนับเป็นวัดเก่าแก่ของจังหวัดพัทลุง มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองหลายยุคหลายสมัย ปัจจุบันอยู่ในสภาพที่จะต้องพัฒนาอีกมาก เสนาสนะสงฆ์เก่า ๆ ได้ถูกรื้อออกทั้งหมดเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๖ นอกนั้นที่เหลือเป็นของใหม่ทั้งสิ้น (จรัส บัวขวัญ)