ฉลอง, วัด

         วัดฉลอง หรือ วัดไชยธาราราม เป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ที่ตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต มีเนื้อที่ของวัดในปัจจุบัน ๕๐ กว่าไร่ ทิศเหนือกับทิศใต้จดที่ของชาวบ้าน ทิศตะวันออกจดขุมเหมืองและทิศตะวันตกจดถนนใหญ่

         วัดฉลองมีมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐาน ได้ก่อสร้างขึ้นใหม่อีกในปี พ.ศ. ๒๓๘๐ ได้วิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๖ เดิมทีวัดนี้ตั้งอยู่ ณ บริเวณทุ่งนาด้านทิศเหนือของบริเวณวัดในปัจจุบันนี้หลักฐานอื่น ๆ ไม่ปรากฏ คงปรากฏอยู่แต่เพียงปฏิมากรประดิษฐานอยู่ ณ ศาลาทางทิศตะวันออกของบริเวณวัดขณะนี้ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่คู่วัดมาช้านาน ชาวบ้านเรียกกันโดยทั่วไปว่า “หลวงพ่อเจ้าวัด” หรือ “พ่อท่านนอก” ณ ศาลาหลวงพ่อเจ้าวัดนี้มีรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์คือ พระปฏิมาหลวงพ่อเจ้าวัดเป็นองค์กลาง ด้านซ้ายมีรูปปั้นลักษณะเป็นคนชรานั่งถือตะบันหมาก ชาวบ้านเรียกว่า “ตาขี้เหล็ก” ด้านขวามีรูปปั้นเป็นยักษ์ถือตะบอง ชาวบ้านเรียกว่า “นนทรี” เท่าที่ทราบตาขี้เหล็กและนนทรีนี้คล้ายกับเป็นองครักษ์ประจำพ่อท่านนอก

         การย้ายวัดมาบริเวณปัจจุบันทราบว่าย้ายมาในสมัยเจ้าอาวาสก่อนหลวงพ่อแช่ม ซึ่งชาวบ้านเรียกเจ้าอาวาสรูปนั้นว่า “พ่อท่านเฒ่า” พ่อท่านเฒ่าเป็นอาจารย์วิปัสสนาของท่านพ่อแช่ม เมื่อพ่อท่านเฒ่า ถึงแก่มรณภาพแล้ว หลวงพ่อแช่ม (พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี) ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๑ เมื่อท่านมรณภาพ หลวงพ่อช่วง (พระครูครุกิจจานุการ) ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๘ หลังจากที่ท่านมรณภาพ หลวงพ่อเกลื้อม (พระครูครุกิจจานุการ) เป็นเจ้าอาวาสต่อ จน กระทั่งท่านมรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ พระมหาเฟื่อง ได้รักษาการแทนเจ้าอาวาส จนปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดฉลองจนถึงปัจจุบัน

         วัดฉลอง เป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยของหลวงพ่อแช่ม ในคราวที่เกิดกบฏอั้งยี่ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ พวกกรรมกรเหมืองแร่จำนวนมากในจังหวัดภูเก็ตและใกล้เคียง ได้ซ่องสุมผู้คนก่อตั้งเป็น คณะจีนเรียกว่า “อั้งยี่” พวกอั้งยี่ในภูเก็ตได้ก่อเหตุวุ่นวายถึงขนาดจะเข้ายึดการปกครองของจังหวัดเป็นของตน ทางราชการสมัยนั้นไม่อาจปราบให้สงบราบคาบได้ จนพวกอั้งยี่เหิมใจ ฆ่าฟันชาวบ้านล้มตาย จำนวนมาก และรุกไล่มาถึงตำบลฉลอง ชาวบ้านส่วนหนึ่งได้หลบหนีเข้าป่า บางพวกก็หลบหนีเข้ามาในวัดฉลอง และแจ้งข่าวพร้อมกับนิมนต์ให้หลวงพ่อแช่มหลบหนีออกไปจากวัดฉลอง แต่หลวงพ่อแช่มไม่ยอมหนี โดยที่ท่านบอกว่าท่านอยู่ที่วัดนี้มาตั้งแต่เกิดจนบวชเป็นพระและเป็นเจ้าอาวาสอยู่ เมื่อหลวงพ่อแช่มไม่หนีชาวบ้านก็คิดจะสู้กับพวกอั้งยี่ จึงขอของคุ้มกันจากท่าน ท่านจึงทำผ้าประเจียดแจกให้โพกศีรษะคนละผืน พวกชาวบ้านไปรวบรวมพรรคพวกและหาอาวุธต่อสู้กับพวกอั้งยี่ จนพวกอั้งยี่ต้องแตกหนีไป ชัยชนะของชาวบ้านครั้งนั้นได้แพร่กระจายไป ชาวบ้านที่หลบหนีไปอยู่ที่อื่นต่างพากันมายังวัดฉลอง และอาสาจะสู้กับพวกอั้งยี่ และขอผ้าประเจียดจากท่านไว้โพกหัวทุกคน พวกอั้งยี่หลังจากที่พ่ายแพ้ไปครั้งแรกก็ไปรวบ รวมกำลังมาจำนวนมากโจมตีอีก พวกชาวบ้านถือเอากำแพงอุโบสถเป็นแนวป้องกันต้านไว้ อั้งยี่ไม่สามารถตีฝ่าเข้ามาได้ และชาวบ้านก็สามารถตีอั้งยี่แตกพ่ายไปอีก โดยใช้วิธีบุกโจมตีในขณะที่พวกอั้งยี่พักกินข้าวจนแตกหนีไป หัวหน้าอั้งยี่ได้ตั้งค่าหัวเป็นสินบนว่า ใครสามารถฆ่าหรือจับตัวหลวงพ่อแช่ม วัดฉลองได้จะให้เงิน ๕,๐๐๐ เหรียญ และพวกอั้งยี่ก็ยกกำลังมาตีอีกหลายครั้งแต่ก็ถูกตีโต้กลับไป จนในที่สุดก็ยอมแพ้

         คณะกรรมการเมืองภูเก็ต ได้ทำรายงานกราบทูลไปยังพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะกรรมการเมืองนิมนต์หลวงพ่อแช่มให้เดินทางไปกรุงเทพฯ และพระราชทานสมณศักดิ์หลวงพ่อแช่มเป็นพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี ให้มีตำแหน่งเป็นสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต อันเป็นตำแหน่งสูงสุดในสมัยนั้น ในโอกาสเดียวกันทรงพระราชทานนามวัดฉลองเป็นวัดไชยธาราราม

         จากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้สามารถกล่าวได้ว่า หลวงพ่อแช่มได้ช่วยรักษาเมืองภูเก็ต ให้รอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของคนจีนได้ ถ้าหากไม่มีท่าน เมืองภูเก็ตคงจะเปลี่ยนโฉมหน้า ไปแล้วเป็นแน่

         วัดฉลอง มีชื่อเสียงไม่เฉพาะในจังหวัดภูเก็ตและใกล้เคียงเท่านั้น ในมาเลเซียและปีนังชาวเมืองก็รู้จักและมีความเคารพศรัทธาเลื่อมใสในหลวงพ่อแช่มเป็นอย่างมาก เมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วยก็นิยมบนบาน เมื่อหายก็มาติดทองที่ตัวของหลวงพ่อแช่มตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ โดยติดทองคำเปลวที่หน้าแข้งของท่าน นอกจากนี้ท่านยังได้รักษาพยาบาลเกี่ยวกับกระดูกเคลื่อน กระดูกหัก โดยการเชื่อมและต่อกระดูก จนเป็นที่รู้จักและกล่าวขานโดยทั่วไป แม้แต่ไม้เท้าของท่านก็ยังใช้รักษาเด็ก ๆ ที่เป็นไส้เลื่อน เป็นฝี เป็นปาน โดยการจี้ลงไป ลักษณะอาการเหล่านั้นก็หายไป หรือชะงักการลุกลาม และไม้เท้า อันนั้นก็ยังใช้รักษามาจนทุกวันนี้ วันที่ผู้เขียนเก็บข้อมูล (๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๘) ก็ได้เห็นชาวบ้านพาเด็กมาให้พระมหาเฟื่องเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันใช้ไม้เท้าจี้ปานที่ตัวเด็ก

         เมื่อหลวงพ่อแช่มมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ หลวงพ่อช่วงได้เป็นเจ้าอาวาสสืบต่อ ชาวบ้าน ก็ยังคงให้ความเคารพนับถือไม่ต่างจากหลวงพ่อแช่ม โดยเฉพาะความรู้ที่เกี่ยวกับการเชื่อมและต่อกระดูกที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อแช่ม และในสมัยของหลวงพ่อช่วงนี้ บรรดาศิษย์ได้จัดหล่อรูปหลวงพ่อแช่ม และหลวงพ่อช่วง และได้ทำเหรียญรูปไข่รุ่นแรกขึ้น โดยจัดทำที่วัดมงคลนิมิต ซึ่งเป็นพระอารามหลวงในจังหวัดภูเก็ต ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖

         ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ วัดฉลองเริ่มจัดทำรูปหล่อ แหวน ตลอดจนของขลังอื่น ๆ ขึ้น ณ วัดฉลองเอง และได้ทำติดต่อกันมาทุกปีจนกระทั่งปัจจุบัน

         เมื่อหลวงพ่อช่วงมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ หลวงพ่อเกลื้อม ศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการต่อกระดูกจากหลวงพ่อช่วงก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อเกลื้อมเป็นเจ้าอาวาสวัดฉลอง ๓๓ ปี ได้บูรณะซ่อมแซมอุโบสถ มณฑป อนุสาวรีย์ หลวงพ่อช่วงได้ก่อสร้างกุฏิ ศาลาการเปรียญ มณฑปหลวงพ่อเจ้าวัด นับว่าการพัฒนาวัดในช่วงของหลวงพ่อเกลื้อมได้เจริญก้าวหน้ามาก จนกระทั่งท่านมรณภาพใน ปี พ.ศ. ๒๕๒๑

         ปัจจุบัน พระมหาเฟื่อง สจฺจานนฺโท ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ได้ทะนุบำรุงวัดให้เจริญรุดหน้าไปมาก โดยเฉพาะท่านมีความรู้พิเศษทางด้านวิชาสถาปัตยกรรมและวิชาการเกี่ยวกับแผนผังแบบแปลน ท่านจึงได้พยายามแก้ไข ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบรรดาถาวรวัตถุที่สำคัญให้มีความสวยงาม เจริญศรัทธาแก่บรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายอีกด้วย เป็นต้นว่าได้ปรับปรุงกุฏิเสนาสนะสงฆ์ให้ได้รูปแบบตามแผนผังและสถาปัตยกรรมอันถูกต้อง ได้บูรณะอุโบสถที่กำลังจะทรุดโทรมขึ้นใหม่โดยเพิ่มเติมส่วนหลังคาให้ได้ลักษณะของอุโบสถมาตรฐาน พร้อมทั้งสร้างกำแพงแก้วรอบอุโบสถ เพิ่มความสง่างามและเป็นปริมณฑลแก่ปูชนียสถาน นอกจากนี้ท่านยังได้พยายามขยายและปรับปรุงพื้นที่บริเวณวัด ให้กว้างขวาง พอเพียงแก่พุทธศาสนิกชนจะพึงเข้าไปชุมนุมนมัสการพระรัตนตรัย และองค์อนุสาวรีย์ของหลวงพ่อองค์ก่อน ๆ ที่มรณภาพไปแล้วนั้นด้วย ผลจากการพัฒนาวัดในด้านต่าง ๆ ตามที่กล่าวมาจึงทำให้วัดฉลองได้รับการคัดเลือกเป็นวัดพัฒนาดีเด่นประเภทพัฒนาตนเองในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ (นพดล กิตติกุล

 ดูเพิ่มเติม หลวงพ่อแช่มวัดฉลอง : ภูเก็ต

ชื่อคำ : ฉลอง, วัด
หมวดหมู่หลัก : ศิลปกรรม
หมวดหมู่ย่อย : สถาปัตยกรรมเกี่ยวกับศาสนา
ชื่อผู้แต่ง : นพดล กิตติกุล
เล่มที่ : ๔
หน้าที่ : ๑๙๔๗