บดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร), เจ้าพระยา

       พลเอกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) เป็นเจ้าพระยาคนสุดท้ายของตระกูล ณ นคร เป็นบุตรคนที่ ๕ ของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช (พ.ศ. ๒๔๑๐- ๒๔๔๔) กับท่านผู้หญิงนิ่ม มีพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน ๑๘ คน เกิดเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๑๐ ตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในจวนเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ครั้นโตขึ้นได้เรียนหนังสือไทยและหนังสือขอมจากสำนักครูคงที่เมืองนครศรีธรรมราช และเรียนวิชาเลขจากสำนักขุนกำจัดไพริน (เอี่ยม) ในกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้บวชเป็นสามเณรที่วัดพระมหาธาตุวรวิหาร เมืองนครศรีธรรมราช ภายหลังได้ศึกษาพุทธศาสนาในสำนักพระครูเทพมุนี (แก้ว) ผู้เป็นอุปัชฌาย์และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ ๑ พรรษา จึงสึกออกมา ในปี พ.ศ. ๒๔๒๓ สมเด็จฯ เจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ออกไปควบคุมการสักเลกทางภาคใต้และปรับปรุงเมืองตรัง ได้พบเด็กชายแย้มที่เมืองนครศรีธรรมราช จึงขอต่อเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม) บิดา เพื่อนำไปฝึกหัดราชการและศึกษาต่อในกรุงเทพฯ ได้เข้ารับราชการอยู่กับเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) สมุหพระกลาโหมในสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นไปเป็นนักเรียนทหารเรือในเรือรบหลวงสุริยมณฑล จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๑ จึงได้เข้าเรียนเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบกในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ มีหมายเลขประจำตัวเป็นนักเรียนนายร้อยคนที่ ๓ ของโรงเรียน ได้ศึกษาวิชาทหารบกจนสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ต่อจากนั้นก็เริ่มรับราชการเป็นทหารมาเกือบตลอดชีวิต

       วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๒ ได้รับยศว่าที่ร้อยตรี เป็นนายทหารตำแหน่งเกียกกาย กองโรงเรียนนายร้อย วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ มีความดีความชอบมากจึงเลื่อนยศขึ้นเป็นร้อยเอกตำแหน่งนายเวรคำสั่ง กองปลัดทหารบกใหญ่ กรมยุทธนาธิการ ในเดือนเมษายน ปี พ.ศ. ๒๔๓๖ เกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสได้ย้ายไปเข้าสังกัดกรมทหารราบที่ ๔ ตำแหน่งปลัดกองในกองทหารพิเศษ ซึ่งออกไปรักษาพระราชอาณาเขตทางมณฑลอุบลราชธานี ได้ไปตั้งกองบังคับการอยู่ที่ค่ายสีทันดร ประชิดกับข้าศึกทางฝ่ายดินแดนลาว เสร็จสงครามกลับกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ เข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงรวบรัดปัตรพล รับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยปลัดทัพบกและได้รับพระราชทานเลื่อนยศขึ้นเป็นพันตรี ต่อมาในเดือนกันยายน ปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระสุรเดชรณชิต” ปีต่อมาได้เลื่อนยศขึ้นเป็นพันโทพระสุรเดชรณชิต (แย้ม) อยู่ในตำแหน่งเดิม ในขณะที่รับราชการเป็นผู้ช่วยปลัดทัพบกนี้เคยไปตรวจราชการที่ภาคพายัพในคราวที่เกิดกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ และได้เขียนรายงานตรวจราชการเสนอต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นขึ้นไป จนได้รับคำชมจากพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “...ได้รับหนังสือที่ ๑๗๒/๑๐๗๓๐ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๑ นำส่งรายงานพระสุรเดชรณชิตครั้งที่ ๒ ซึ่งขึ้นไปตรวจทางแลการมณฑลพายัพนั้นได้ตรวจดูแล้วรายงานนี้แต่งดีมาก

       ต่อมาในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้เลื่อนยศเป็นนายพันเอก พร้อมทั้งเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นปลัดทัพบกในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน และเลื่อนยศขึ้นเป็นพลตรีในปีต่อมาพร้อมทั้งเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นพระยาวรเดชศักดาวุธ (แย้ม) เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๘ หลังจากนั้นได้ไปดูการประลองยุทธ ณ ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ โปรดเกล้าฯ ให้ออกไปไต่สวนระงับเหตุการณ์ที่เมืองแพร่ เพราะชาวจีนในเมืองแพร่ได้รวมกันเพื่อจะยกไปช่วยพวกก่อการปฏิวัติในประเทศจีน ได้ปฏิบัติราชการเป็นที่เรียบร้อยดีจนเป็นที่พอพระราชหฤทัยพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก

       ตอนต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ นั้นเอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รั้งตำแหน่งปลัดทูลฉลอง จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๕ จึงได้รับการเลื่อนยศขึ้นเป็นพลโท และอีกปีต่อมาเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นที่พระยาสีหราชเดโชชัย (แย้ม) ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศขึ้นเป็นพลเอก และอีก ๒ ปีต่อมาก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้รั้งตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ดังปรากฏในประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งดังต่อไปนี้ “...มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ดำรัสสั่งว่าในกาลที่จอมพลเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (...อรุณ ฉัตรกุล ณ อยุธยาถึงแก่อสัญกรรม ตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงกลาโหมว่างลง จำเป็นจะต้องมีผู้ทำการแทนโดยทันที จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายพลเอกพระยาสีหราชเดโชชัย (แย้มเป็นผู้รั้งตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมตั้งแต่วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๖๔ และหลังจากนั้นมาเพียง ๘ เดือน คือในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕ ก็โปรดเกล้าฯ ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ดังนี้

       ประกาศ

       ตั้งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม

       มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่านายพลเอกพระยาสีหราชเดโชชัย (แย้มได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณในตำแหน่งผู้รั้งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมมาด้วยความเรียบร้อย เป็นที่พอพระราชหฤทัยสมควรเป็นเสนาบดี จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายพลเอกพระยาสีหราชเดโชชัย (แย้มเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๕ เป็นต้นไป 

       พระบรมราชโองการดำรัสสั่ง ณ วันที่ ๒๘ มีนาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๕

       ปลายปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาพลเอกพระยาสีหราชเดโชชัย (แย้ม) ขึ้นเป็นเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม) ดังปรากฏในคำประกาศตั้งตอน หนึ่งว่า

       “...ทรงพระราชดำริว่า นายพลเอกพระยาสีหราชเดโชชัย (แย้มเป็นเหล่ากอของเจ้าพระยานคร ศรีธรรมราชผู้มีความสวามิภักดิ์มาแต่เดิม...พระยาสีหราชเดโชชัย (แย้มรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาในกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่นายทหารชั้นผู้น้อยเป็นลำดับมาจนถึงได้เป็นตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงนี้ ย่อมเป็นพยานปรากฏว่า พระยาสีหราชเดโชชัยมีความสามารถ ทั้งมีความชำนาญรอบรู้ในราชกิจน้อยใหญ่ ปฏิบัติราชการด้วยความอุตสาหะพิริยภาพเป็นอันมาก ส่วนราชการในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นราชองครักษ์เวร แล้วเป็นราชองครักษ์พิเศษและเป็นองคมนตรี ให้เป็นนายทหารพิเศษในกรมทหารรักษาวัง และเป็นเลขาธิการสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดีนั้นด้วย พระยาสีหราชเดโชชัยเป็นผู้ที่ได้ทรงคุ้นเคย ต้องพระราชอัธยาศัยมาช้านานทรงตระหนักชัดในความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโดยมั่นคง ทั้งมีความประพฤติดำรงตนอยู่ในฐานะอันควรแก่ฐานันดรศักดิ์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งไว้ บัดนี้ก็ได้รับราชการในหน้าที่เสนาบดี อันเป็นตำแหน่งสูงอยู่แล้ว สมควรจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้มีเกียรติยศใหญ่ยิ่งขึ้น

        จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่ง ให้สถาปนาพระยาสีหราชเดโชชัย (แย้มขึ้นเป็นเจ้าพระยา มีสมญาจารึกในหิรัญบัตรว่า เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต อดิศรมหาสวามิภักดิ์ อุดมศักดิ์เสนาบดี ศรีธรรมราชกุลพงศ์ ดำรงราชวรฤทธิ์ สัตยสถิตย์อาชวาสัย พุทธพิไตรย์สรณาธาดา อภัยพิริยปรากรม พาหุมุสิกนาม ดำรงศักดินา ๑๐,๐๐๐

       พลเอกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม) ได้รับราชการในตำแหน่งหน้าที่เสนาบดีกระทรวงกลาโหมอยู่เป็นเวลาประมาณ ๑๕ ปี จนกระทั่งถึงวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงขอพระราชทานบังคมลาออกจากตำแหน่ง เพราะป่วยและชราภาพเป็นนายทหารนอกราชการ ต่อมาอีกหลายสิบปีได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชราเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ณ บ้านมหาโยธิน กรุงเทพมหานคร รวมอายุ ๙๓ ปีเศษ

       ถึงแม้จะลาออกจากราชการแล้ว พลเอกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม) ยังได้ทำหน้าที่ราชการพิเศษสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประเทศชาติตลอดมา เป็นต้นว่า เป็นราชองครักษ์พิเศษ และเป็นองคมนตรีในสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ความสำเร็จในชีวิตราชการของพลเอกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม) นอกจากจะขึ้นอยู่กับความจงรักภักดี และมีชาติภูมิสูงแล้ว ยังเป็นบุคคลตัวอย่างที่มีแบบแผนในการทำงานอย่างดีเยี่ยม เอาใจใส่ต่องานที่รับผิดชอบอย่างสูงยิ่งปรากฏว่าตลอดชีวิตราชการอันยาวนานถึง ๓๗ ปี ไม่เคยปรากฏว่ามีความผิดหรือบกพร่องในหน้าที่การงานเลย การทำงานแต่ละครั้งจะมีแผนงานอย่างละเอียดลออจนได้รับคำชมจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและผู้บังคับบัญชาเสมอมา พระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยทรงรับสั่งว่า พระสุรเดช (แย้มผู้นี้นับว่าเป็นช้างเผือกในหมู่ทหารคนหนึ่ง แซ่เจ้าพระยานครจะไม่สูญ

       พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ทรงสรรเสริญไว้ในคำอาลัยในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพของเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม) ว่า ท่านอยู่ในราชการเป็นเวลานาน ไม่เคยมีข้อเสียหายประการใด ไม่ว่าจะเป็นด้วยพลั้งเผลอหรือไม่รู้หรือทุจริต

       ในด้านส่วนตัว เป็นผู้ใหญ่ในวงศ์ตระกูล เป็นที่พึ่งพาของญาติพี่น้อง ลูกหลาน บริจาคทรัพย์สร้างสาธารณสมบัติและสาธารณกุศลมากมายหลายล้านบาท เช่น พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้สร้างโรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๕๐๑ สร้างอุโบสถวัดธารวดี อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช พ.ศ.๒๕๐๕ สร้างที่ทำการอนามัยนครศรีธรรมราช (ตามพินัยกรรม) เป็นต้น และที่สำคัญก็คือเป็นผู้ขอพระราชทานนามสกุล ณ นคร อันเป็นตระกูลที่มีบทบาทสำคัญตระกูลหนึ่งทั้งในภาคใต้และระดับชาติ

       พลเอกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม) สมรสกับท่านผู้หญิงเลียบ ธิดาหลวงสุนทรสินธพ (จอ ปัจฉิม) เจ้ากรมม้าแซงนอกซ้าย กับนางจาด มีบุตรธิดาด้วยกันทั้งหมด ๔ คน คือ ลาภ ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก หยิบ สมรสกับคุณประนอม ธิดาเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) พยุง สมรสกับนายเสน่ห์ ณ นคร และโพยม สมรสกับพลตรีพระยาเสนีณรงค์ฤทธิ์ (ม.ล.เล็ก สนิทวงศ์)

       หลังจากงานพระราชทานเพลิงศพแล้ว บุตรหลานได้นำอัฐิของพลเอกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม) ไปบรรจุรวมไว้ในพระปรางค์เก็บพระอัฐิบรรพชนในตระกูล ณ นคร ในหอพระพุทธสิหิงส์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อต้นเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔ นับว่าเป็นการสิ้นสุดประวัติและชีวิตของเจ้าพระยาคนสุดท้ายในตระกูล ณ นคร (สงบ ส่งเมือง)

       ดูเพิ่มเติมสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม ณ นคร), เจ้าพระยา

ชื่อคำ : บดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร), เจ้าพระยา
หมวดหมู่หลัก : โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และการเมืองการปกครอง
หมวดหมู่ย่อย : ประวัติบุคคล
ชื่อผู้แต่ง : สงบ ส่งเมือง
เล่มที่ : ๘
หน้าที่ : ๔๕๓๓